วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร

เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร


1เปโตร 2.9-17

ในมุมมองทางคริสต์ศาสนศาสตร์แล้ว ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร (ข้อ 9) เป็น ชนชาติอิสราเอลใหม่(อิสราเอลฝ่ายวิญญาณ)

จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราพบบทบาทใหม่ ในฐานะใหม่ของเราในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อย่างน้อย 3 ประการ

1. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เรามีหน้าที่

อย่าเข้าใจผิดว่า การเป็นชนชาติ(คน)ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรของพระเจ้าแล้ว เราจะเป็นคนที่มี “สิทธิพิเศษ” หรือเป็น “อภิสิทธิชน” ตัวอย่าง ลัทธิคำสอนเท็จบางลัทธิ บอกว่า เราเป็นชนชาติพิเศษ เราไม่ต้องถูกเกณฑ์เป็นทหาร ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ เป็นต้น

แต่การเป็นชนชาติที่ทรงเลือกสรร หมายถึงการมีหน้าที่พิเศษ มีภารกิจพิเศษที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราทำ นั่นคือการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า (ข้อ 9 ข ..ประกาศพระบารมีของพระองค์) ไม่ใช่เป็นอภิสิทธิชนพิเศษเหนือคนอื่น ดีกว่าคนอื่น และเก็บครอบครองพระพรแห่งความรอดพ้นไว้เฉพาะตนเอง ไม่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดแก่ผู้อื่น ต่อไป ตามที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เป็นพิเศษที่ได้เลือกสรรเรามารู้จักพระเจ้าและเป็นชนชาติของพระองค์

2. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เราเป็นประชากรของแผ่นดิน

ถึงแม้ว่าเราเป็นชาติของพระเจ้า เราก็ยังต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ เราเป็นประชากรของสองอาณาจักร คือราชอาณาจักรของพระเจ้า (Kingdom of God) และราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

การที่เราอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า หมายถึงเราอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎหมายของพระเจ้า หรือ พระบัญญัติ พระวจนะของพระเจ้า อยู่ภายใต้น้ำพระราชหฤทัยของ พระเจ้า ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้า

ในเวลาเดียวกัน เราก็อยู่ในแผ่นดินไทย เป็นประชากรของประเทศไทย ที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้กฎหมายที่เป็นตัวบทอักษร และอยู่ภายใต้สำนึกของความเป็นคนไทยที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ไม่ต้องจารึกไว้เป็นตัวอักษรที่กระดาษ แต่จารึกไว้ในดวงใจของคนไทยทุกคน

เราจึงต้องพึงตระหนักอยู่เสมอ ว่าเราเป็นประชากรของราชอาณาจักรของพระเจ้า และเป็นประชากรของราชอาณาจักรไทย (เรามีหน้าที่ประกาศพระบารมีของพระเจ้า และของพระเจ้าแผ่นดินไทย)



3. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เราเป็นพลเมืองที่ดี

พลเมือง หมายถึง พลังของเมือง (พละ + เมือง)

การเป็นพลเมืองที่ดี หมายถึงการเป็นคริสตชนที่ดี ดำเนินชีวิตตามคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า และหมายถึงการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ด้วย

ในฐานะการเป็นพลเมืองที่ดี มีหน้าที่ สร้างสรรค์สังคมที่ดี สร้างความสงบสุขเพื่อให้เกิดสันติสุขในเกิดขึ้น (ไม่ใช่สร้างความวุ่นวาย) สร้างประโยชน์สุข และสร้างความเจริญสุข

ในปลายข้อ 16 บอกว่า “....แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า” อาจารย์เปโตร ได้เตือนใจพวกเราว่า อย่าคิดว่าเราจะเป็นพลเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไปวันๆ แต่เราต้องเป็น “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” เป็น ”ข้าราชการ” ของพระเจ้า คือทำหน้าที่ๆ พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราทำอย่างดีที่สุด

สังคม ประเทศชาติยังมีสิ่งไม่ถูกต้องอีกมากมาย ความชั่วมีมากมาย เพราะว่าวันนี้มีคนดีที่อยู่เงียบๆ เป็นคนดีสำหรับตนเอง ไม่ใช่เพื่อสังคม ประเทศชาติ

สรุป วันนี้พระเจ้าเลือกให้เราเป็นบุตรของพระองค์ เราเป็นประชากร เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระเจ้าทรงเลือกเราทุกคน เพื่อต้องการใช้เราทุกคน พระเจ้าทรงสร้างเราอย่างมีคุณค่า มากว่ากว่าที่จะให้เราอยู่เฉยๆ เก็บดูในตู้โชว์ แต่พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นคนที่พระเจ้าจะใช้การได้

พี่น้องทั้งหลาย เรามีหน้าที่ มีพันธกิจและภารกิจ ในฐานะเราเป็นประชากรของพระเจ้าและของประเทศ เราเป็นพลังของแผ่นดินของพระเจ้าและเป็นพลังของแผ่นดินโลกนี้ ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งดีๆ ในเกิดขึ้นได้ (สุดท้ายนี้ อย่าลืมไป เลือกตั้ง นะครับ)

อธิษฐาน..

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คริสเตียนสุขภาพ(ฝ่ายวิญญาณ)ดี

คริสเตียนสุขภาพ(ฝ่ายวิญญาณ)ดี


(เป็นคริสเตียนอย่างไรจึงจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณดี)

กาลาเทีย 5.16-25

อาทิตย์ที่ผ่านมาได้พูดถึงการป่วยฝ่ายจิตวิญญาณ เนื่องจากโรคบาป เรื่อง“คนเจ็บต้องการหมอ” คือคนที่รู้สึกตัวว่าตนเองป่วย แล้วมาหาพระเจ้าด้วยท่าที ต้องการการรักษาจากพระเยซู และรับการรักษาด้วยพระเยซู ชีวิตจึงจะหายป่วยฝ่ายวิญญาณได้ ในวันนี้เราจะแบ่งปันกับท่านทั้งหลาย ถึงเรื่องการมีสุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่ดี มีชีวิตที่เข้มแข็งในความเชื่อ มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี

มีคนเขาบอกว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องออกกำลังกาย” วันนี้อยากบอกพี่น้องเช่นกันว่า “สุขภาพฝ่ายวิญญาณดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้า”

คริสเตียนจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดีได้อย่างไร ?

จากพระวจนะของพระเจ้า ได้บอกถึงวิธีที่เราจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี สอง ประการ คือ

ประการที่หนึ่ง ยอมดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า( ข้อ 16 ก)



1. โดยยอมให้พระวิญญาณทรงนำในการดำเนินชีวิต ( ข้อ 18)

การดำเนินชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่การดำเนินชีวิตตามแผนการชีวิตของตนเองเท่านั้น โดยที่ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของตน หรือ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องก็ต่อเมื่อตนเองต้องการ บางสิ่ง บางอย่างจากพระเจ้าเท่านั้น เยเรมีย์ 7.23-24 พระเจ้าตรัสกับชนชาติอิสราเอล ประชากรของพระองค์ว่า “ แต่เราบัญชาเจ้าทั้งหลายว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา และดำเนินในหนทางที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แต่เจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่เขาทั้งหลายดำเนินตามแผนการของเขาเองและในความดื้อกระด้างตามจิตใจชั่วของเขาทั้งหลายและเดินถอยหลัง มิได้เดินขึ้นหน้า”

พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะให้ประชากรของพระองค์มีชีวิตที่ประสบกับความเจริญก้าวหน้า อยู่เย็นเป็นสุข เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินถอยหลัง (ไม่ใช่สามวันดีสี่วันป่วย) สิ่งที่เขาจะต้องกระทำก็คือ เชื่อฟังเสียง ของพระเจ้า และเดินในหนทางที่พระเจ้าทรงบัญชา คือ ตามพระวจนะของพระเจ้า

เราต้องกล้าไว้ใจพระเจ้า กล้าที่จะเชื่อใจ และเชื่อฝีมือของพระเจ้า พระธรรมสุภาษิต 3.5-6 บอกว่า “ จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”



2. ยอมมีชีวิตอยู่ใน(โดย)พระวิญญาณ ( ข้อ 25)

คริสเตียนต้องมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตถูกปกคลุมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และดำเนินชีวิตใน พระวิญาณบริสุทธิ์นั้น เพื่อพระเจ้าจะสามารถทำงานในชีวิตของเราและทรงนำชีวิตของเราไปตามวิถีทางของพระองค์ได้ และชีวิตของเราก็จะประสบกับความสำเร็จตามแผนงานและพระประสงค์ของพระเจ้าได้

ในพระธรรมเอเฟซัส 5.18 บอกว่า “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายถึงอาการและผลที่เกิดขึ้นจากการถูกควบคุม โดยเหล้า กับ พระวิญญาณ การเมาเหล้าทำให้เสียคน(เสียสุขภาพ และเสียอีกหลายอย่าง) แต่การเมาพระวิญญาณจะมีชีวิตที่เจริญขึ้น และสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี

ประการที่สอง ไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง ( ข้อ 16 ข)

คำว่า “เนื้อหนัง” กับ “ร่างกาย” มีความหมายต่างกัน คำว่า เนื้อหนัง อธิบายความหมายได้จาก ข้อ 19-21 อฟ.5.3-5 คส.3.5-9 1 คร.3.3-4 เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ แต่คำว่า “ ร่างกาย” หมายถึง ร่างกายของเราที่เป็น พระวิหารของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ เป็นฝีพระหัตถ์แห่งการทรงสร้าง ซึ่งเราต้องดูแลรักษาให้ดี มีสุขภาพที่ดี



คริสเตียนที่ไม่สนองความต้องการของเนื้อหนังจะต้องทำอย่างไร ?



1. ต่อสู้เนื้อหนังโดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( ข้อ 17)

ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้เราสามารถต่อสู้กับความต้องการ ความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเราได้ โดยกำลังของเราเองเราเอาชนะได้ยาก หรือเอาชนะไม่ได้ แต่โดยการอาศัยฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราสามารถเอาชนะได้ คำว่า “ฤทธิ์เดช” มีความหมายมาจากคำศัพท์ที่มีความหมาย ระเบิด (ดูนามีส ไดนาไมค์) คำนี้จะใช้เฉพาะกำลัง ฤทธิ์เดช อำนาจของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีในมนุษย์ หรือสิ่งอื่น ใน อฟ.6.10-11 อาจารย์เปาโลได้ขอให้คริสเตียนเอเฟซัสมีกำลังและฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้

2. เชื่อฟังคำตักเตือนจากพระวจนะของพระเจ้า ( ข้อ 21)

พระธรรมยากอบ 1.22 -25 บอกว่า “ แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง.....”

เราต้องรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตามพระวจนะ ชีวิตของเราจึงจะมีชนะได้ เราต้องขะมักเขม้น เอาจริงเอาจังในการฟัง อ่าน ศึกษา ค้นคว้า ใคร่ครวญพระวจนะ ไม่ละเลย หลีกเลี่ยง จากพระวจนะของพระเจ้า ( โยชูวา 1.7-8) นำชีวิตเข้าสู่ พระวจนะของพระเจ้า แล้วชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จ และมีชัยชนะในการดำเนินชีวิต



สรุป เราทุกคนที่เชื่อพระเจ้า เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาประทับสถิตในชีวิตของเราแล้ว แต่พระเจ้าต้องการที่จะให้ชีวิตของเราถูกครอบครองและเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่เสมอ เพื่อพระองค์จะขับเคลื่อนชีวิตของเราด้วยพลังฤทธิ์เดชของพระองค์ไปสู่ชัยชนะ ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต มีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี

สุดท้ายนี้ จะให้ยา 5 อย่าง กลับไปกินให้หายป่วยและมีสุขภาพวิญญาณที่ดี 1)ติดสนิทกับพระวจนะ 2)ติดสนิทกับการสามัคคีธรรม 3)ติดสนิทกับการนมัสการ 4)ติดสนิทกับการอธิษฐาน 5)ติดสนิทกับการรับใช้พระเจ้า

ขอให้พระเจ้าเติมเต็มชีวิตของเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และขับเคลื่อนชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่พระพรของพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้สำหรับเราทุกคน เป็นคริสเตียนที่มีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี อาเมน

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คนเจ็บต้องการหมอ

คนเจ็บต้องการหมอ


ลูกา 5.27-32

คำนำ -มีใครที่ไม่เคยเจ็บป่วยบ้าง ?

-มีคนป่วย อยู่ สองประเภทที่น่าเป็นห่วง คือ

1. คนที่คิดว่าตัวป่วยอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกโรค ป่วยทุกเรื่อง

2. คนที่คิดว่าตัวเองไม่ป่วย ทั้งที่ป่วยอยู่

พี่น้องเป็นคนป่วยประเภทใด ?

คนทั้งสองประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากหมออย่างเร่งด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจกำเริบและลุกลามจนรักษาไม่ได้

โรม 3 .23 23เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ชาวยิวมีความเชื่อว่าความบาปเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยต่างๆ ถ้าได้รับการยกบาป ก็จะได้รับการรักษาจากความเจ็บป่วย บางครั้งพระเยซูรักษาโรคด้วยการตรัสว่า “บุรุษเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” (ลูกา 5.20)

มนุษย์ทุกคนเป็นคนป่วย ทั้งป่วยกาย ป่วยใจ ป่วยจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความบาป จากอำนาจของมารซาตานที่ไม่ต้องการให้ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นฝีพระหัตถ์การทรงสร้างที่ดีที่สุดของพระเจ้านั้น มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ มารซาตานพยายามที่จะ ลัก ฆ่า และทำลาย ความสมบูรณ์ที่เป็น พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น โดยการล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ทำตามพระวจนะของพระเจ้า ต้องการทำตามใจปรารถนาของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นอาการป่วยฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ คนบาป ที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนในปัจจุบันนี้ แต่บางคนอาจไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองป่วย และไม่คิดว่าตนเองป่วย จึงไม่ยอมเข้ารับการรักษา บางคนได้รับการรักษาแล้วแต่ไม่ยอมหาย กลายเป็นคนป่วยเรื้อรัง คิดว่าตัวเองป่วยอยู่เสมอ ทั้งที่พระเจ้ารักษาให้หายแล้ว

จากพระวจนะของพระเจ้าพระเยซู ได้บอกถึงท่าทีของคนป่วยฝ่ายวิญญาณที่จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป อย่างน้อย 2 ท่าที คือ (เราควรมีท่าทีอย่างไรเพื่อให้ได้รับการรักษาให้หายจากการป่วยฝ่ายวิญญาณ ? )

1. มีความต้องการ การรักษาจากพระเยซู ( ต้องการหมอ)

ความต้องการการรักษา หรือความต้องการหมอ มาจากความรู้สึกยอมรับว่าตนเองป่วย มัทธิว 5.3 3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา การยอมรับว่าตนเองบกพร่อง ทำบาป อ่อนแอ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการแสดงความต้องการที่จะรับการรักษาให้หาย นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของตน ตรงกันข้ามกับการไม่ยอมรับ ปกปิด ซ่อนความเจ็บป่วยไว้ ก็ยิ่งทำให้อาการป่วยกำเริบขึ้นมากกว่าเดิม ปล่อยไว้จนสายเกินไปจนรักษาไม่ได้ ยิ่งอันตรายต่อชีวิตของเรา

2. เข้ารับการรักษาจากพระเยซู (เข้าสู่กระบวนการรักษา)

- รักษาตามวิธีการของพระเยซู “จงตามเรามา”

การรักษาคนป่วยด้านร่างกายในปัจจุบันนี้ อาจมีช่องทางการรักษาได้หลายช่องทาง จากแพทย์แผนไทย สมุนไพร แพทย์แผนปัจจุบัน หรือ ทางไสยศาสตร์ ก็ได้

แต่การรักษาโรคบาป อาการป่วยฝ่ายวิญญาณนั้น ต้องรับการรักษาด้วยวิธีการของพระเยซูเท่านั้น พระเยซูเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคบาป และรักษาให้หายขาดได้แน่นอน อาเมน หมออื่นๆ อาจช่วยลด บรรเทา แต่ไม่สามารถรักษาโรคบาปให้หายขาดได้ มีแต่ พระเยซูแพทย์ผู้ประเสริฐเท่านั้นที่รักษามนุษย์ทุกคนให้หายจากโรคบาปที่เป็นสามเหตุของอาการป่วยฝ่ายวิญญาณได้

- ลุกขึ้นจากสาเหตุที่ทำให้ป่วย (เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่เมื่อได้รับการรักษาแล้ว)

มีคนป่วยจำนวนมากที่ได้รักษาให้หายจากโรคแล้ว ยังกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เป็นสาเหตุของการป่วย “เลวี”(ภาษาฮีบรู) หรือ “มัทธิว”(ภาษากรีก แปลว่า คนของพระเจ้า) เขาเป็นคนเก็บภาษี ชาวยิวถือว่าเป็นคนบาป เขาได้รับการรักษาโรคบาปจากการทรงเรียกของพระเยซูแล้ว เลวีได้สละสิ่งสาระพัดและลุกขึ้นตามพระเยซูไป

“เลวี” ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนร่วมอาชีพเก็บภาษีและคนอื่นมาร่วมงาน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระเยซูและประกาศตนเองว่าได้รับการรักษารับ การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่จากพระเยซูแล้ว (กรณีของสักเศียสก็เช่นเดียวกัน) เขาได้แสดงออกถึงการกลับใจใหม่อย่างชัดเจน

และเราได้ทราบแล้วว่า เลวี หรือ มัทธิว คนนี้เป็น หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซู ที่มีบทบาทสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐขยายแผ่นดินของพระเจ้าอย่างเกิดผล จากคนป่วยจากโรคบบาป กลายเป็นผู้ประกาศที่เกิดผล เขาเป็นคนเขียน พระธรรมมัทธิว เพื่อใช้ประกาศกับชาวยิว อย่างเกิดผลตลอด 15 ปีแห่งการรับใช้ก่อนสิ้นชีวิต (ซึ่งอาจเป็นที่ประเทศเอธิโอเปียที่ท่านเดินทางไปประกาศฯ โดยการถูกประหารชีวิตจากกษัตริย์ฮีร์กาตุส)

สรุป พี่น้องที่รักทั้งหลาย พระเยซูเสด็จมาเพื่อรักษาเราให้หายจากโรคแห่งความบาป เราทุกคนได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาปแล้ว พระเยซูต้องการให้เราลุกขึ้นจากวิถีชีวิตเดิม เพื่อให้เราเดินตามพระองค์ไปบนวิถีทางของพระองค์เพื่อชีวิตของ พระเราจะพบกับพระพรของพระเจ้าและเป็นพระพรสำหรับผู้อื่น เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำกับชีวิตของ “เลวี”(มัทธิว) พระเยซู ก็จะกระทำสิ่งนี้ในชีวิตของเราด้วย อาเมน

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นโยบายเพื่อชีวิต

นโยบายเพื่อชีวิต


ยอห์น 10.7-15

คำนำ ในช่วงนี้พรรคการเมืองแข่งขันกันเสนอนโยบายเพื่อดึงดูดใจประชาชนให้เลือกพรรค เลือก สส.ของตนเองให้มากที่สุดเพื่อเข้าไปใช้อำนาจบริหาร ด้วยการเป็นรัฐบาล ทุกพรรคต่างอ้างว่าทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อให้ประชาชนได้กินดี อยู่ดี มีชีวิตที่ดีขึ้น จะทำได้จริงแท้แค่ไหนนั้น ก็ต้องดูกันต่อไป

นโยบายของพระเยซูคริสต์ เป็นนโยบายเพื่อชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ที่จริงแท้แน่นอน พระเยซูคริสต์ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อ เขาทั้งหลายจะได้ชีวิตที่ครบริบูรณ์ ถ้าผู้ใดเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้นั้นจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์

จากพระวจนะที่ได้อ่านไปแล้วนั้น พระเยซูคริสต์ได้บอกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น 2 อย่าง เพื่อทำให้เราทุกคนได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ คือ

1. พระองค์ทรงเป็นประตูแห่งชีวิต

1.1 ผู้ที่เข้าทางประตูนี้จะได้รับความรอด

พระเยซูเป็นความรอดของเรา พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราทุกคน ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ทุกเรื่องในชีวิตของเรา พระองค์เป็นความรอด หลายครั้งที่ชีวิตเราพบทางตัน ไม่มีทางออก มืดแปดด้าน พระเยซูคริสต์เป็นประตูทางออกของเรา

1.2 ผู้ที่ออกทางประตูนี้จะได้พบอาหาร

ทางพระเยซู เป็นหนทางที่เราจะพบอาหารแห่งชีวิต พบพระพร ทางออกของชีวิตเราสำหรับการมีชีวิตที่ได้รับพระพรนั้น เราออกทางไหน ทางออกนี้เป็นประตูแห่งชีวิตที่ครบบริบูรณ์

สดุดี 23 : 1-6 1พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้าพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ 5พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ 6แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์



พระเยซูได้บอกว่ามารซาตานนั้น พยายามทำให้ชีวิตของมนุษย์ไม่มีความสมบูรณ์ในชีวิต ด้วยการที่ ลัก ฆ่า ทำลาย ชีวิตมนุษย์ แต่พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิต ที่ครบบริบูรณ์



2. พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเรา

2.1 ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อเราทุกคน

พระเยซูได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ (อยู่ในคอกของพระองค์) หรือ ยอมติดตามพระองค์ ก็จะได้ชีวิตรอด ปลอดภัย ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่ครบบริบูรณ์

การอยู่ “นอกคอก” ของพระเยซู เต็มไปด้วยอันตราย มีสุนัขป่า มีแต่ขโมย ที่จะทำอันตราย ชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะต้องอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงจะปลอดภัย ได้รับการดูแลอย่างดีจากพระเยซูคริสต์ เราต้องติดสนิทอยู่ในพระเยซูคริสต์เสมอ เป็นคริสเตียน “ในคอก” ไม่เป็นคริสเตียน “นอกคอก” ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับชีวิตของเรา

2.2 ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นผู้ที่รู้จักเราทุกคนอย่างดี

พระเยซูทรงรู้จักเราทุกคน พระองค์ทรงรู้จุดอ่อน จุดแข็ง รู้อุปนิสัยของเราแต่ละคนเป็นอย่างดี พระองค์ทรงรู้ความต้องการของเราแต่ละคน

พระเยซูทรงเลี้ยงดูเราอย่างเข้าใจ พระเจ้าทรงรู้จักเราเป็นรายบุคคล “ทรงเรียกชื่อแกะ” (ยน.10.3) พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งในชีวิตของเรา รู้ความต้องการของเรา รู้นิสัยของเรา รู้ความทุกข์ของเรา รู้ ปัญหาของเรา และที่สำคัญพระองค์ทรงรู้วิธีที่จะช่วยเราได้

สรุป พี่น้องทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวที่จะทำให้ชีวิตของเราครบบริบูรณ์อย่างแท้จริง พระองค์จะทรงเติมเต็มส่วนที่ขาดไปจากชีวิตของเรา พระองค์จะตัดแต่งชีวิตของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อเราทุกคนเข้ามาอยู่ ในคอก ของพระองค์ เราก็มีชีวิตครบบริบูรณ์

นี่คือ สิ่งที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเราและเพื่อมนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ โปรดเลือกให้พระเยซูคริสต์ เป็น เบอร์ 1 ให้พระองค์ทรงเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา แล้วเราจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ อย่างแท้จริง อาเมน