วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตั้งความคาดหวังของท่านในการนมัสการพระเจ้า

ตั้งความคาดหวังของท่านในการนมัสการพระเจ้า


อิสยาห์ 6.1-8

ทำไมเราต้องตั้งความคาดหวังในการนมัสการพระเจ้า ?

1. การนมัสการพระเจ้าเป็นเหมือนหัวใจของชีวิตของคริสเตียนหรือคริสตจักร พระเจ้าเลือกและเรียกเราทั้งหลายมาเพื่อให้นมัสการพระเจ้า พระองค์สร้างเราเพื่อให้เรานมัสการพระองค์ และพระเจ้าก็ทรงใช้เราให้ออกไปประกาศนำคนเข้ามาเพื่อนมัสการพระองค์ ฉะนั้น การนมัสการพระเจ้าจึงเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตคริสเตียนทุกคน

2. การนมัสการเป็นพระประสงค์หลักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของประชากรของพระองค์ ในพระบัญญัติ 10 ประการ ได้บอกถึงการที่พระเจ้าพอพระทัยสำหรับคนที่นมัสการพระองค์ และพระองค์ทรงอวยพระพรคนที่นมัสการพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงไม่พอพระทัยสำหรับคนที่ไม่ได้นมัสการพระองค์แต่กลับไปนมัสการสิ่งอื่นแทนการนมัสการพระองค์

3. การมานมัสการพระเจ้าของแต่ละคนจึงเป็นเรื่องสำคัญและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ถึงแม้ว่าคนที่มาโบสถ์หรือมานมัสการพระเจ้าอาจมีความคาดหวังหรือเป้าหมายแตกต่างกันไป เช่น มาเพื่อทำหน้าที่ของการเป็นคริสเตียนที่ดีที่ควรทำ(ก็ควรทำ) มาเพื่อพบปะสามัคคีธรรมกับเพื่อน ญาติพี่น้อง(ก็ควรทำ) มาเพื่อฟังเทศน์ ฟังพระวจนะ(ก็ควรทำ) มาเพื่อได้รับคำหนุนใจ ได้รับกำลังใจ การชูใจ (ก็ควรทำ)มาเพื่อเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า(ก็ควรทำ) เป้าหมายเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรคาดหวังจะได้รับหรืออยากให้เกิดขึ้นเมื่อเรามานมัสการพระเจ้า ด้วยเช่นกัน แต่เราต้องมีความคาดหวังสิ่งสำคัญมากกว่านั้นในการนมัสการพระเจ้า



เราตั้งความคาดหวังในการนมัสการพระเจ้าอย่างไรบ้าง ?

จากพระธรรมอิสยาห์ 6.1-8 ให้เราตั้งคาดหวังสำคัญ 3 ประการ ที่ควรเกิดขึ้นในการนมัสการพระเจ้าของเรา ทั้งหลาย เมื่อเรามาโบสถ์ มานมัสการพระเจ้า ความคาดหวัง 3 ประการนั้นคือ....

1. เราจะได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

อิสยาห์ได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการนมัสการพระเจ้า เสราฟิม (ทูตสวรรค์) ในพระวิหาร ที่ใช้สองปีกปิดบังหน้า เป็นภาพการแสดงความเคารพ ยำเกรง นอบน้อมต่อพระเจ้า เพราะรู้ว่าพระเจ้านั้น   ยิ่งใหญ่ น่ายำเกรง จนไม่กล้าแม้แต่จะมองพระพักตร์พระองค์ จึงเอาปีกปิดบังหน้าไว้

ถ้าเราจะนมัสการพระเจ้าให้สมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราจะต้องนมัสการพระเจ้าด้วยท่าที ด้วยใจที่ยำเกรง ยกย่อง เทิดทูน ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งชีวิตจิตใจของเรา ทูตสวรรค์นั้นร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกเต็มด้วยพระสิริของพระองค์” เป็นเสียงแห่งการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า การยกย่องสรรเสริญเป็นหัวใจสำคัญในการนมัสการพระเจ้า

ดังนั้น เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราต้องกระทำทุกสิ่งด้วยท่าทีการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เมื่อร้องเพลงก็ร้องออกมาจากใจถวายแด่พระเจ้า อธิษฐานก็อธิษฐานด้วยใจที่สรรเสริญ ขอบพระคุณ พระเจ้า ถวายทรัพย์ก็ถวายด้วยใจที่สรรเสริญ ยกย่องเทิดทูนและขอบพระคุณพระเจ้า  จงทำ   ทุกสิ่งด้วยท่าทีแห่งการยกย่องสรรเสริญ พระเจ้า

2 เราจะได้พ้นจากความผิดบาป

เมื่ออิสยาห์ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ได้ยินเสียงที่ทูตสวรรค์ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ทำให้ อิสยาห์ต้องสารภาพบาปของตัวเองออกมา ถ้าเราสังเกตคำสารภาพบาปของอิสยาห์เราจะพบว่าเป็นคำสารภาพที่เต็มไปด้วยความถ่อมใจจริงๆ “ วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาดและข้าพเจ้าอยู่ในหมู่คนที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์คือพระเจ้าจอมโยธา” คำสารภาพนี้น่าจะเป็นคำสารภาพของคนที่จิตวิญญาณตกต่ำ หรือคนที่หลงหายไปจากพระเจ้า หรือคนที่ทำผิดบาปร้ายแรง มากกว่าที่จะเป็นคำสารภาพของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่อย่างอิสยาห์ แต่อิสยาห์ได้สารภาพต่อพระเจ้าด้วยใจถ่อม ยอมจำนน

สาเหตุที่อิสยาห์ได้สารภาพด้วยใจถ่อมอย่างนี้ เพราะว่าท่านได้เห็นพระเจ้าได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ  พระเจ้า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับ ณ พระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้นและชายฉลองของพระองค์เต็มพระวิหาร” “...เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์คือพระเจ้าจอมโยธา”

อิสยาห์ได้เห็นความบริสุทธิ์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทำให้ท่านได้มองเห็นตัวเองอย่างชัดเจน ถ้าเราพบพระเจ้าในการนมัสการ เราก็จะมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนและอย่างแท้จริง หลายครั้งที่เรานมัสการพระเจ้าแล้วไม่ได้มองเห็นพระเจ้า ไม่ได้พบพระเจ้า ทำให้เรามองเห็นแต่ตัวเอง ทำให้เราขาดความถ่อมใจ ขาดความยำเกรง พระเจ้า พระเจ้าจึงอวยพระพรชีวิตของเราไม่ได้ ถ้าเรามองเห็นพระเจ้าเหมือนที่อิสยาห์ได้มองเห็นพระเจ้า พระพรของพระเจ้าก็จะหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเราและทำให้เรามองเห็นอะไรๆอีกหลายอย่างในชีวิตของเราชัดเจนขึ้นและเราก็จะถ่อมตัวลงแบบอิสยาห์และพูดว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” และเมื่อมีการถ่อมตัวถ่อมใจ สารภาพกับพระเจ้าการชำระให้บริสุทธิ์ก็จะเกิดขึ้น ทูตสวรรค์ได้นำเอาถ่านเพลิงจากแท่นบูชา มาถูกต้องปากของอิสยาห์ “ ดูเถิด สิ่งนี้ได้ถูกต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว กรรมชั่วของเจ้าก็ถูกยกเสีย และเจ้าก็จะรับการยกมลทินบาป” สิ่งนี้จะต้องเป็นประสบการณ์ของเราเมื่อเราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยความถ่อมใจทุกวันอาทิตย์ ทุกการนมัสการ พระเจ้าก็จะทรงชำระเรา สร้างจิตใจภายในให้กับเรา เราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณ เป็นการชำระเอาสารพิษฝ่ายจิตวิญญาณของเรา(ความบาป) ทำให้จิตวิญญาณ ไม่เจ็บป่วยแต่มีสุขภาพจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง แต่ถ้าเราเข้ามานมัสการพระเจ้าแล้วไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้า พอกลับไป เราก็เหมือนไม่ได้รับอะไรเลย เพราะไม่ได้รับการชำระล้างสารพิษฝ่ายวิญญาณ (อาจทุกข์มากกว่าเดิมเพราะรับสารพิษเข้าไปอีก)

ดังนั้น ทุกอาทิตย์ที่เรามานมัสการ หรือทุกการนมัสการพระเจ้า ให้เราคาดหวังการชำระให้บริสุทธิ์จาก พระเจ้า ด้วยการสารภาพด้วยใจถ่อมและยอมจำนนต่อพระเจ้า บาปเหมือนกาฝาก เหมือนมะเร็งร้าย ฝ่ายวิญญาณที่เกาะกินทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เราต้องเอาออก อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจอันตรายถึงชีวิต

3 เราจะได้พร้อมในการรับใช้พระเจ้า

เมื่ออิสยาห์นมัสการพระเจ้า อิสยาห์ได้ยินเสียงของพระเจ้าว่า “เราจะใช้ผู้ใดไปและผู้ใดจะไปแทนเรา” เมื่อเรามานมัสการพระเจ้า พระเจ้าถามเราทุกอาทิตย์ว่า“เราจะใช้ผู้ใดไปและผู้ใดจะไปแทนเรา” พี่น้องทั้งหลายพระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเราให้การนำคนเข้ามาเพื่อนมัสการพระองค์ ให้คนกลับมาหาพระเจ้า

เมื่ออิสยาห์ได้ยินเสียงการทรงเรียกจากพระเจ้าท่านได้ตอบสนองทันทีว่า “ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด ในแต่ละอาทิตย์พระเจ้าทรงเรียกเราให้รับใช้พระองค์ เราจะตอบสนองพระองค์ด้วยการติดปีกคู่ที่ 3 ใช้บิน เป็นปีกแห่งการรับใช้ ไม่ใช่ปีกบินหนี แต่เป็นปีกแห่งการปรนนิบัติ   รับใช้พระเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าต้องการใช้เราให้ไปบอกกับคนทั้งหลายให้หันกลับมานมัสการพระเจ้า ไปบอกกับคนที่หลงหาย เหมือนคนอิสราเอลที่หลงไปจากพระเจ้าให้หันกลับมานมัสการพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะทรงอวยพรชีวิตของทุกๆคนได้ ให้เราทุกคนไปบอกคนในบ้านเรา ครอบครัวเรา ที่ทำงาน ชุมชนของเรา ฯลฯ ให้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน อาเมน

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการอย่างถูกต้อง

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการอย่างถูกต้อง


ยอห์น 4.20-24

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ เป็นการสนทนาระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเราฟังคำสนทนาระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียแล้วมีการพูดคุยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องน้ำดื่ม        น้ำธำรงชีวิต เรื่องสามีที่ไม่ใช่สามี และเรื่องการนมัสการ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของชีวิต เราทุกคนเผชิญกับปัญหาเรื่องปากท้อง เป็นหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ในสังคม แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาฝ่ายจิตวิญญาณ ปัญหาความสัมพันธ์กับพระเจ้า ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง

พระเยซูกำลังนำหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ ให้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้ากลับมาสู่การนมัสการ     พระเจ้าอย่างถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้กับหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ ก่อนหน้านี้เธอพยามแก้ไขปัญหาหลายอย่างด้วยวิธีการของเธอ เช่น แก้ปัญหาความสัมพันธ์กับสังคม โดยการปลีกตัวออกจากสังคม(มาตักน้ำตอนกลางวัน) ปัญหาครอบครัว(เปลี่ยนสามีบ่อยๆ) ปัญหาเรื่องการนมัสการพระเจ้าที่ไม่จุใจ อิ่มใจ (นมัสการที่ไหนกันแน่จึงจะถูกต้อง)



การนมัสการที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ?



1. การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องนั้นเริ่มต้นที่ความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณของเรากับพระเจ้า

ในข้อ 23 ตอนกลางบอกว่า “เมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์” พระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

คำว่า “ด้วยจิตวิญญาณ” คงไม่ได้หมายถึงจิตวิญญาณของเรา แต่หมายถึง ด้วยพระวิญญาณ ในข้อ 24 กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ...” ดังนั้น เราต้องนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่ไม่ได้อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีพระเยซู มีแต่ความบาป พระเจ้าไม่รับการนมัสการพระเจ้าของคนบาป พระเจ้าทรงรับการนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงสมควรที่จะได้รับการนมัสการจากมนุษย์ทุกชาติ ทุกประเทศ ทุกภาษาและทุกเผ่าพันธุ์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างชีวิตของเรา ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเอง เพื่อเขาจะถวายสรรเสริญเรา” (อิสยาห์ 43.21)

เมื่อเราอ่านวิวรณ์ กล่าวไว้ว่า “คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่า พันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา ...ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อพระพักตร์พระเมษโปดก” และคนเหล่านี้ได้ร้องสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าพอพระทัยเมื่อมีคนมากมายมาร่วมใจนมัสการพระเจ้า เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงสร้าง คริสตจักรของพระองค์ไว้บนโลกนี้ตามสถานที่ต่างๆ และทรงบัญชาให้ออกไปประกาศและนำคนเข้ามาหาพระองค์ กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์ กลับมานมัสการพระเจ้า

ดังนั้น ให้เราหนุนใจคนที่ขาดการนมัสการ และนำคนอื่นที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน เพราะพระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้น นมัสการพระองค์



2. การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องนั้นเริ่มต้นที่การมีชีวิตที่สอดคล้องกับความจริง

พระเจ้าทรงแสวงหา และพอพระทัยผู้คนที่นมัสการพระเจ้า แต่พระคัมภีร์บอกว่าต้องนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง ในข้อ 23 บอกว่า “เมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์”

คำว่า “ด้วยความจริง” หมายถึง นมัสการพระเจ้าในความจริง ความจริง คืออะไร ความจริง คือ พระเยซู พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน.14.6) ดังนั้น นมัสการด้วยความจริง คือ นมัสการโดยพระเยซู เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เราก็เข้ามาอยู่ในความจริง อย่านมัสการพระเจ้าตามความคิดของเราเอง หรือตามใจชอบของเรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ให้เรานมัสการพระเจ้าตามวิธีของพระเจ้า คือนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์และโดยพระเยซูคริสต์

เราสามารถแบ่งการนมัสการเป็นสองส่วนได้ คือการนมัสการในความหมายกว้างและในความหมายแคบ การนมัสการในความหมายกว้างนั้น หมายความว่า การดำเนินชีวิตคริสเตียน(ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์)ทุกอย่างเป็นการนมัสการพระเจ้า เปาโลกล่าวไว้ว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” ( 1คร.10.31) การดำเนินชีวิตด้วยการเห็นแก่ตัวเอง หรือ การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่างเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ให้เราถือว่า ทุกอย่างเป็นพระคุณของพระเจ้า และถวายพระสิริ การโมทนาขอบพระคุณแด่พระเจ้า นั่นแหละเป็นชีวิตที่แท้จริงของผู้ที่นมัสการพระเจ้า ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ตาม

การนมัสการพระเจ้าในความหมายแคบ คือ การนมัสการที่เรารวมตัวกันและถวายแด่พระเจ้า เช่น การนมัสการในวันอาทิตย์ตอนเช้า ภาคบ่าย คืนวันพุธ หรือ การนมัสการตามบ้าน เป็นต้น

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องตามวิธีการของพระเจ้า ไม่ใช่นมัสการพระองค์ตามวิธีของตน หรือความคิด ความรู้สึกของตน ให้เรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้ ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และโดยพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงแสวงหาคนเช่นนั้น





วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

จงลุกขึ้นไปกันเถิด

จงลุกขึ้นไปกันเถิด


มัทธิว 26.-36-46

คำนำ วันอาทิตย์นี้สภาคริสตจักรฯ กำหนดไว้ให้เป็นวันระลึกสภาคริสตจักรฯ ครบรอบ 77 ปี (1934-2011)

หัวข้อในวันนี้คือ “จงลุกขึ้นไปกันเถิด”

อะไรคือความหมายของการทรงเรียกของพระเยซู ที่ใช้คำว่า “จงลุกขึ้นไปกันเถิด”

1. คือการต้องไปให้ถึงเป้าหมาย ณ เวลานั้น เป้าหมายของพระเยซู คือ การเดินทางไปสู่กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ด้วยชีวิต ส่วนเป้าหมายของเรา คือ การตอบสนองต่อพระมหาบัญชาของพระเยซู และทำให้สำเร็จ

2. วันนี้เราทุกคนตระหนักว่า พระองค์ตรัสกับเราวันนี้ด้วยคำเดียวกัน คือ “จงลุกขึ้นไปกันเถิด” เรามีพันธกิจที่ต้องทำ เราต้องประกาศพระกิตติคุณ เราต้องดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้า เพราะฉะนั้น การลุกขึ้นในที่นี้ หมายถึง ความรับผิดชอบ เราจะอยู่เฉยๆ ปิดหูปิดตา อยู่สบายๆส่วนตัวไม่ได้แล้ว

ทำไมเราจึงต้องคิดว่า พระเยซู ทรงเรียกให้เราลุกขึ้นเหมือนทรงเรียกสาวก(ในสมัยนั้น)

1. เพราะมีสถานการณ์ คล้ายคลึงกัน คือ ขณะพระเยซูอธิษฐานด้วยความทุกข์แสนสาหัส เพราะพระองค์ต้องรับจอกแห่งน้ำพระทัยของพระบิดาดื่ม การตายบนไม้กางเขน พันธกิจแห่งการไถ่บาปมนุษย์ แต่...สาวกของพระองค์กำลังหลับ ศัตรูกำลังรุก แต่สาวกกำลังหลับ พระเจ้าทรงรัก ห่วงใยสังคม คนไทยทุกคน และทรงมอบหมายพันธกิจนี้ให้เรารับผิดชอบ แต่เราก็ไม่ต่างไปจากสาวกในสวนเกทเสมานี คือ หลับอยู่ ลืมตาไม่ขึ้น (ปิดหูปิดตา) พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “จิตวิญญาณพร้อมแล้ว แต่กายยังอ่อนกำลัง (ไม่มีกำลังแม้แต่จะลืมตา หรือลุกขึ้น)

2. เพราะพระเยซูทรงต้องการทีมงานที่พร้อมและตื่นอยู่

พระเยซูเรียกให้สาวกลุกขึ้น เพราะต้องการให้ทุกคนตั้งอยู่ในความพร้อม ไม่ประมาท “ เพราะเวลานี้เป็นกาลที่ชั่ว” เราจะนอนหลับต่อไปไม่ได้แล้ว พระเจ้าต้องการให้เราตระหนักในความรับผิดชอบต่อพันธกิจที่มอบหมายไว้ในเรา

เราจะลุกขึ้นไปสู่การทำพันธกิจมอบหมายให้สำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไร

1. เราต้องลุกขึ้น ถือว่าพันธกิจของพระเจ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน เราต้องแสดงความรับผิดชอบก่อนที่มารซาตานจะยึดพื้นไปเสียก่อน เราต้องไม่ละเลย หลับหูหลับตา ลืมตาไม่ขึ้น

2. เราต้องลุกขึ้น ผนึกกำลัง ไม่ปล่อยให้พระเยซู กระทำเพียงลำพัง หรือ ปล่อยให้ผู้รับใช้พระเจ้า ( ศบ. ผป. มน.) ทำเพียงลำพัง แต่ให้เรา ผนึกพลังในการรับใช้ การรับใช้ของเราก็จะมีพลังมากขึ้น

3. เราต้องลุกขึ้น สำรวจว่า พระเจ้ามอบหมาย พันธกิจอะไรไว้กับเรา อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือ คิดว่าถ้าเราไม่ทำก็มีคนอื่นทำ ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับรู้ หรือรับผิดชอบ แต่เราต้องตั้งอยู่ในความพร้อมในการเป็นทีมงานของพระเยซู ในการทำพันธกิจของพระเจ้าให้สำเร็จและเกิดผล



อธิษฐาน……