วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การนมัสการ กับความสัมพันธ์ผู้อื่น

การนมัสการ กับความสัมพันธ์ผู้อื่น

มัทธิว 5.23-24 อิสยาห์ 1.11-20

คำนำ คำเทศนาเรื่องการนมัสการ 4 ครั้ง ที่ผ่านมานั้น จะเน้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ในวันนี้ จะสรุปเรื่องการนมัสการของเรา ด้วยเรื่องความสัมพันธ์กับมนุษย์

การนมัสการไม่ใช่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น แต่การนมัสการยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรากับพี่น้องของเรา กับ ผู้อื่น ด้วย

ทำไมการนมัสการพระเจ้าของเราจึงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ?

1. เพราะเราเป็นในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราเป็น ชุมชนแห่งความสัมพันธ์ ชุมชนแห่งความรัก และชุมชนแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

การเป็นคริสเตียน ไม่ใช่เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่เป็นเรื่องความเป็นชุมชน เป็นชุมชนของผู้เชื่อวางใจในพระเจ้า ติดตาม เลียนแบบวิถีชีวิตของพระเยซูคริสต์ หรือที่เรียกว่า “สาวกของพระเยซูคริสต์”

เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์กับพี่น้อง ความสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงเป็นเรื่องที่พระเจ้าให้ความสำคัญ พระเยซูให้ความสำคัญ พระคัมภีร์ให้ความสำคัญ

2. เพราะการนมัสการ เป็นการยกย่อง สรรเสริญ ยำเกรงและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยกให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง ในชีวิตของเรา ยกให้น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา ไม่ได้ทำตามใจ ตามความตั้งใจของตนเอง แต่เรา(คนที่นมัสการพระเจ้า) ยอมทำตามน้ำพระทัยและพระประสงค์(ความตั้งใจ)ของพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์และมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าพอพระทัยและมีพระประสงค์ให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อพี่น้องและเพื่อนบ้านของเรา นอกจากที่มีพระประสงค์ให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์แล้วนั้น(รักพระเจ้าสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง) เราก็ต้องทำตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า





การนมัสการของเรา จะเป็นการนมัสการที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้อย่างไร ? โดยการ...

1. คืนดี

หมอประเวศ วะสี ราษฎร์อาวุโส ได้กล่าวถึงสังคมไทย(สังคมโลกด้วย)ในปัจจุบัน ว่า “เป็นสังคมแตก” คือ แยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ เป็นส่วนๆ ไม่ประสานติดกัน ซึ่งนำสังคมที่แตกนี้ไปสู่หายนะ นำไปสู่ความไม่เจริญ

เพราะฉะนั้น พระเยซู จึงตรัสว่า “ ...ให้ไปคืนดีกับพี่น้องก่อน นำเครื่องบูชามาถวาย(มา(มานมัสการ) พระเยซูให้ความสำคัญ กับความสัมพันธ์ของคน มาก่อน การถวายเครื่องบูชา เพราะถ้าไม่เช่นนั้น การถวายเครื่องบูชาที่ไม่มีความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มันก็เป็นเพียงแค่การทำตามพิธี ทำเป็นพิธี ไม่ได้เป็นชีวิตจิตวิญญาณ และความจริง ซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า มันทำให้ พระเจ้า เอือม... พระเจ้าไม่ ปิติยินดี... พระเจ้าเกลียด..(เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังแด่พระเจ้า)

การนมัสการแบบนี้ทำให้เป็นภาระที่พระเจ้าแบกเหน็ดเหนื่อย (ตรงข้ามกับ อิสยาห์ 40.29

“ ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างสุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย...”)

พระเยซูต้องการให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องก่อนเพื่อการนมัสการของเราจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

2. ทำดี

ทำตัวเองให้ดี

-ชำระตัว /ทำตัวให้สะอาด

-เลิกทำชั่ว /ฝึกทำดี

ทำในสิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น

-มีความยุติธรรม

-บรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ

-ป้องกันให้ลูกกำพร้า

-ต่อสู้เพื่อหญิงม่าย

ถ้านมัสการอย่างนี้ คือ อย่างมีสัมพันธ์กับผู้อื่น จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ?

พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลง ชีวิต จากหลังมือ เป็นหน้ามือ เปลี่ยนจากชั่วไปดี (ทำให้เราเป็น “คนดี”)

พระเจ้าเจ้าจะอวยพร ให้ชีวิตเกิดผลดี (ทำให้เรา”เกิดผลดี”)



อธิษฐาน...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ณ โมริยาห์ การนมัสการที่เชื่อฟัง

ณ โมริยาห์ การนมัสการที่เชื่อฟัง

ปฐมกาล 22.1-19

ทำไมตั้งชื่อนี้

1. เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าการนมัสการพระเจ้า เริ่มต้นที่การเชื่อฟังและจบลงที่การเชื่อฟัง คือ ออกไปสู่การรับใช้ ไม่ใช่จบแล้วก็ตัวใครตัวมัน บ้านใครบ้านมัน อาทิตย์หน้าค่อยมาว่ากันใหม่ อาทิตย์นี้ได้ทำหน้าที่คริสเตียนแล้ว ตลอดอาทิตย์ผม(ฉัน) จะทำอะไรก็เป็นเรื่อง ผม(ฉัน)แล้ว ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น การนมัสการเริ่มต้นที่การเชื่อฟัง ออกไปสู่การดำเนินชีวิตและการรับใช้ด้วยการเชื่อฟัง ชีวิตเราก็จะได้รับพระพรของพระเจ้ามากมาย

2. เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าที่ โมริยาห์ (พระวิหาร โบสถ์ คริสตจักร) เป็นศูนย์พัฒนาความเชื่อและการเชื่อฟัง ณ โมริยาห์ พระเจ้าได้ทรง ”ลองใจ” (พัฒนา)อับราฮัม ในเรื่องการเชื่อฟัง พระเจ้าได้พัฒนาความเชื่อของอับราฮัม ไปสู่การเชื่อฟัง อย่างหมดใจ หมดทั้งชีวิต

วันนี้ที่พระวิหารแห่งนี้ พระเจ้าจะพัฒนาชีวิตแห่งการนมัสการที่เชื่อฟังของเรา อาเมน !

จากพระวจนะของพระเจ้า ปฐมกาล 22.19-25 ....

มีเรื่องอะไรบ้างที่เราต้องเชื่อฟังเมื่อเรานมัสการพระเจ้า

1. เรื่องการไปนมัสการพระเจ้าตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง

เมื่อพระเจ้าสั่งให้อับราฮัมไปนมัสการ (ถวายเครื่องเผาบูชา) ด้วยการถวายอิสอัคบุตรชายคนเดียวให้เป็นเครื่องเผาบูชา ที่แคว้นโมริยาห์ บนภูเขาลูกหนึ่งนั้น อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เตรียมตัว ไปนมัสการตามคำสั่งของพระเจ้าทันที ไม่รีรอ ไม่รอช้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต่อรอง แต่ลงมือปฏิบัติตามทันที

ในพระคัมภีร์ ได้มีคำสั่ง คำเตือน มากมาย ให้เรานมัสการพระเจ้า เราได้ตอบสนองต่อคำสั่งของพระเจ้าในเรื่องการนมัสการพระเจ้าด้วยท่าทีแบบไหนบ้าง ?

มีบางคนบอกว่า มานมัสการแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย หรือ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองเลย ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มาไม่ถึงการนมัสการ มาโบสถ์แต่ไม่ถึงการนมัสการพระเจ้า ไม่ได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้า ไม่ได้รับใช้พระเจ้าเมื่ออกจากพระวิหารไป

ท่าทีการนมัสการเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าถึงพระเจ้า หรือ ไม่ได้อะไรเลยจากการนมัสการพระเจ้าของเรา

ฮีบรู 10.19-25 19เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดย พระโลหิตของพระเยซู 20ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทางพระกายของพระองค์ 21และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว 22ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์ 23ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ 24และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ท่าทีสำคัญในการเตรียมพร้อมสำหรับการไปนมัสการพระเจ้าที่เชื่อฟัง

1. มีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์

2. เข้าไปใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3. ไว้ใจเต็มที่

4. มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว

5. มีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์

6. ปลุกใจซึ่งกันและกัน

7. อย่าขาดการประชุม

8. พูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น



2. เรื่องเครื่องบูชาที่ถวายแด่พระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง

พระเจ้าสั่งให้อับราฮัม ถวายอิสอัค(บุตรชายคนเดียว)แด่พระเจ้า “อิสอัค” คือทั้งหมดของชีวิต อับราฮัม มันคือการอุทิศถวายทั้งชีวิต

โรม 12.1-2 1พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัย  พระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่เพื่อท่านจะได้ทราบ    น้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

เครื่องบูชาที่พระเจ้าต้องการให้ถวาย

“ถวายตัว” ถวายหมดทั้งชีวิตแด่พระเจ้า ทั้งภายในจิตวิญญาณ และการแสดงออกภายนอกในการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า

บางคน มาโบสถ์แต่ตัว แต่ใจไม่มา (เหมือนคุณยายคนนั้น..) บางคนมาแต่วิญญาณ มาแต่ใจ ตัวไม่มา (ใจอยู่ที่โบสถ์ตลอดเลยอาจารย์ แต่ไม่ว่าง มีธุระ)

สรุป การนมัสการที่เชื่อฟัง พระเจ้าจะอวยพระพร พระเจ้าจะจัดหาจัดเตรียมทุกสิ่งไว้สำหรับคนที่มานมัสการด้วยใจที่เชื่อฟัง (เยโฮวาห์ยิเรห์) ชีวิตของเราจะรับพระพรและเป็นพระพรอย่างมากมาย

อ่าน ปฐมกาล 22.15-19 พร้อมกัน

อธิษฐาน

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

ปฐมกาล 4.1-7 , โรม 12.1-2



สาเหตุสำคัญที่ทำให้การนมัสการไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

นมัสการตามใจฉัน อยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้มีเป้าหมายของการนมัสการอยู่ที่พระเจ้า เห็นคนอื่นนมัสการก็นมัสการบ้าง โดยที่ไม่ได้เข้าใจ เข้าถึงการนมัสการอย่างแท้จริง ทำตามพิธีการให้ผ่านๆ ไป ทำให้จบๆไป

อุปสรรคสำคัญในการนมัสการที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย คือ ท่าทีของการนมัสการ “ถ้าเจ้าทำดี เราก็พอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ”

“ทำดี” คือ ทำถูกต้อง ทำแบบเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด คริสเตียนเรารับความรักและพระคุณของพระเจ้า อย่างมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควรดำเนินชีวิตด้วยท่าทีที่เหมือนผู้เขียนสดุดี 116:12 ที่กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระเจ้าได้ เนื่องจากบรรดาพระราชกิจอันมีพระคุณต่อข้าพเจ้า” เราน่าจะดำเนินชีวิตด้วยท่าทีนี้ คือ ท่าทีที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้า เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อชีวิตของเรามากเหลือเกิน



จริงๆแล้ว เราคงไม่มีอะไรเอามาตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ เพราะว่าทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสารพัดทุกสิ่งในโลกนี้ คงมีสิ่งเดียวที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ คือ การนมัสการ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้วิงวอนเราในพระคัมภีร์ โรม 12 ในข้อที่ 1 ได้บอกว่า “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า...” เราควรตอบแทนพระคุณของพระเจ้าโดยการถวายสิ่งที่เรามีอยู่แด่พระองค์ ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าที่พระองค์ทรงพอพระทัย



เราจะนมัสการอย่างไรจึงเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า



เปาโลบอกว่า มีสามสิ่งที่เราควรถวายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย



1. ถวายตัวของเราแด่พระเจ้า “... ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย”

ความหมายของคำว่า “ตัว” นัยแรกคือ ร่างกาย เราควรถวายร่างกายของเราแด่พระเจ้า เมื่อก่อนที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์ เรามักจะใช้ร่างกายของเราให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม และเป็นทาสของบาป แต่เมื่อเรารับเชื่อพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาและสถิตอยู่ในเรา ร่างกายของเราจึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง”(1โครินธ์ 6.19) “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าเอาอวัยวะของพระคริสต์มาเป็นอวัยวะของหญิงแพศยาได้หรือ”(1โครินธ์ 6.15) ดังนั้น เราควรทำให้ร่างกายของเรา อวัยวะของเราถูกใช้เป็นเครื่องใช้ในการกระทำความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ความหมายอีกของคำว่า “ตัว” คือทุกส่วนในชีวิตของเรา คือทั้งความคิด คำพูด การกระทำ ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชีวิตในคริสตจักร และชีวิตในสังคมทั้งหมด เปาโลให้เราถวายทุกอย่างในชีวิตของเราแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ คนอิสราเอลในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ฆ่าสัตว์ถวายเครื่องบูชาที่ตายแด่พระเจ้า แต่เราต้องถวายเครื่องบูชาที่มีชีวิตแด่พระเจ้า เครื่องบูชาที่มีชีวิต หมายถึงการนมัสการโดยการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของเราที่เราน่าจะถวาย นี่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

คำว่าบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์มีความหมายมากกว่า สะอาด คือแยกออกเพื่อพระเจ้า หมายความว่า พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป เพื่อพระองค์ เพื่อให้เราถวายชีวิตทั้งหมดแด่พระองค์

อย่าลืมว่า การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย การนมัสการแท้ได้เริ่มเมื่อศิษยาภิบาลได้ขออวยพรแล้ว ลุกขึ้นออกจากห้องนมัสการนี้ ดังนั้นเราควรดำเนินชีวิตทุกวันๆ ให้เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยการคิดว่า การดำเนินชีวิตของเราเองเป็นความต่อเนื่องของการนมัสการแด่พระองค์ เราสามารถที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ ไม่ว่าเรากินอะไร ดื่มอะไร หรือทำอะไรก็ตาม



2. ถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่...”(ข้อ 2)

เพื่อจะถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เราจำเป็นต้องถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าก่อน เพราะว่า ตัวของเรามักจะทำตามจิตใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ

ผู้เขียนสุภาษิตบอกว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางของเรา” (23:26) พระเจ้าปรารถนารับจิตใจของเรา เมื่อมีคนมาถามพระเยซูว่า ข้อไหนในธรรมบัญญัติสำคัญที่สุด พระองค์ทรงตอบว่า“จงรักพระองค์...ด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า...”(มธ.22:37)

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำอย่างไร เราจึงถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าได้ เปาโลบอกว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ...” คนในยุคนี้มักจะแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่ในโลกนี้เท่านั้น สิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งที่จะเน่าไป ชั่วคราว และไม่แน่นอน แต่คนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจะดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน แสวงหาสิ่งถาวร คิดถึงแผ่นดินของพระเจ้า

3. ถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า “... เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”

เมื่อเราถวายตัวของเรา และจิตใจของเราแด่พระเจ้าแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ น้ำพระทัยของพระเจ้า ว่าอะไร ดี พอพระทัย และดียอดเยี่ยม ความตั้งใจหรือเจตนารมณ์ของมนุษย์เรานั้น ไม่สมบูรณ์ บางครั้งดี บางครั้งชั่ว และไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ดังนั้น เราควรถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้าและให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ มีผู้หนึ่งที่ได้อธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ก่อนที่พระองค์ทรงถูกอายัดและถูกจับ พระองค์ทรงเสด็จออกไปยังสวนเกทเสมนีตามเคย และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” (ลูกา 22:42)

การถวายความตั้งใจ (เจตนารมณ์) ของเราแด่พระเจ้านั้นหมายถึงการที่เรายอมรับน้ำพระทัยพระเจ้าแทนการทำตามใจปรารถนาของตนเอง ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่กลัว หรือไม่รอช้าที่จะยกเลิกเจตนารมณ์ของเราเอง เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า บางครั้ง ดูเหมือนว่า ความตั้งใจของเราดีแล้ว แต่น้ำพระทัยของ พระเจ้าดียอดเยี่ยมสำหรับเราเสมอ

เพราะฉะนั้น เราควรมอบเจตนารมณ์ของเราแด่พระเจ้า และปรารถนาให้ทุกสิ่งในชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราควรลงมือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การที่เราถวายตัวของเรา จิตใจของเรา และความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย