การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย
ปฐมกาล 4.1-7 , โรม 12.1-2
สาเหตุสำคัญที่ทำให้การนมัสการไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
นมัสการตามใจฉัน อยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้มีเป้าหมายของการนมัสการอยู่ที่พระเจ้า เห็นคนอื่นนมัสการก็นมัสการบ้าง โดยที่ไม่ได้เข้าใจ เข้าถึงการนมัสการอย่างแท้จริง ทำตามพิธีการให้ผ่านๆ ไป ทำให้จบๆไป
อุปสรรคสำคัญในการนมัสการที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย คือ ท่าทีของการนมัสการ “ถ้าเจ้าทำดี เราก็พอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ”
“ทำดี” คือ ทำถูกต้อง ทำแบบเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด คริสเตียนเรารับความรักและพระคุณของพระเจ้า อย่างมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควรดำเนินชีวิตด้วยท่าทีที่เหมือนผู้เขียนสดุดี 116:12 ที่กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระเจ้าได้ เนื่องจากบรรดาพระราชกิจอันมีพระคุณต่อข้าพเจ้า” เราน่าจะดำเนินชีวิตด้วยท่าทีนี้ คือ ท่าทีที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้า เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อชีวิตของเรามากเหลือเกิน
จริงๆแล้ว เราคงไม่มีอะไรเอามาตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ เพราะว่าทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสารพัดทุกสิ่งในโลกนี้ คงมีสิ่งเดียวที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ คือ การนมัสการ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้วิงวอนเราในพระคัมภีร์ โรม 12 ในข้อที่ 1 ได้บอกว่า “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า...” เราควรตอบแทนพระคุณของพระเจ้าโดยการถวายสิ่งที่เรามีอยู่แด่พระองค์ ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าที่พระองค์ทรงพอพระทัย
เราจะนมัสการอย่างไรจึงเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
เปาโลบอกว่า มีสามสิ่งที่เราควรถวายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย
1. ถวายตัวของเราแด่พระเจ้า “... ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย”
ความหมายของคำว่า “ตัว” นัยแรกคือ ร่างกาย เราควรถวายร่างกายของเราแด่พระเจ้า เมื่อก่อนที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์ เรามักจะใช้ร่างกายของเราให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม และเป็นทาสของบาป แต่เมื่อเรารับเชื่อพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาและสถิตอยู่ในเรา ร่างกายของเราจึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง”(1โครินธ์ 6.19) “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าเอาอวัยวะของพระคริสต์มาเป็นอวัยวะของหญิงแพศยาได้หรือ”(1โครินธ์ 6.15) ดังนั้น เราควรทำให้ร่างกายของเรา อวัยวะของเราถูกใช้เป็นเครื่องใช้ในการกระทำความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ความหมายอีกของคำว่า “ตัว” คือทุกส่วนในชีวิตของเรา คือทั้งความคิด คำพูด การกระทำ ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชีวิตในคริสตจักร และชีวิตในสังคมทั้งหมด เปาโลให้เราถวายทุกอย่างในชีวิตของเราแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ คนอิสราเอลในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ฆ่าสัตว์ถวายเครื่องบูชาที่ตายแด่พระเจ้า แต่เราต้องถวายเครื่องบูชาที่มีชีวิตแด่พระเจ้า เครื่องบูชาที่มีชีวิต หมายถึงการนมัสการโดยการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของเราที่เราน่าจะถวาย นี่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย
คำว่าบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์มีความหมายมากกว่า สะอาด คือแยกออกเพื่อพระเจ้า หมายความว่า พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป เพื่อพระองค์ เพื่อให้เราถวายชีวิตทั้งหมดแด่พระองค์
อย่าลืมว่า การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย การนมัสการแท้ได้เริ่มเมื่อศิษยาภิบาลได้ขออวยพรแล้ว ลุกขึ้นออกจากห้องนมัสการนี้ ดังนั้นเราควรดำเนินชีวิตทุกวันๆ ให้เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยการคิดว่า การดำเนินชีวิตของเราเองเป็นความต่อเนื่องของการนมัสการแด่พระองค์ เราสามารถที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ ไม่ว่าเรากินอะไร ดื่มอะไร หรือทำอะไรก็ตาม
2. ถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่...”(ข้อ 2)
เพื่อจะถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เราจำเป็นต้องถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าก่อน เพราะว่า ตัวของเรามักจะทำตามจิตใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ
ผู้เขียนสุภาษิตบอกว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางของเรา” (23:26) พระเจ้าปรารถนารับจิตใจของเรา เมื่อมีคนมาถามพระเยซูว่า ข้อไหนในธรรมบัญญัติสำคัญที่สุด พระองค์ทรงตอบว่า“จงรักพระองค์...ด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า...”(มธ.22:37)
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำอย่างไร เราจึงถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าได้ เปาโลบอกว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ...” คนในยุคนี้มักจะแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่ในโลกนี้เท่านั้น สิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งที่จะเน่าไป ชั่วคราว และไม่แน่นอน แต่คนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจะดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน แสวงหาสิ่งถาวร คิดถึงแผ่นดินของพระเจ้า
3. ถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า “... เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”
เมื่อเราถวายตัวของเรา และจิตใจของเราแด่พระเจ้าแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ น้ำพระทัยของพระเจ้า ว่าอะไร ดี พอพระทัย และดียอดเยี่ยม ความตั้งใจหรือเจตนารมณ์ของมนุษย์เรานั้น ไม่สมบูรณ์ บางครั้งดี บางครั้งชั่ว และไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ดังนั้น เราควรถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้าและให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ มีผู้หนึ่งที่ได้อธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ก่อนที่พระองค์ทรงถูกอายัดและถูกจับ พระองค์ทรงเสด็จออกไปยังสวนเกทเสมนีตามเคย และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” (ลูกา 22:42)
การถวายความตั้งใจ (เจตนารมณ์) ของเราแด่พระเจ้านั้นหมายถึงการที่เรายอมรับน้ำพระทัยพระเจ้าแทนการทำตามใจปรารถนาของตนเอง ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่กลัว หรือไม่รอช้าที่จะยกเลิกเจตนารมณ์ของเราเอง เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า บางครั้ง ดูเหมือนว่า ความตั้งใจของเราดีแล้ว แต่น้ำพระทัยของ พระเจ้าดียอดเยี่ยมสำหรับเราเสมอ
เพราะฉะนั้น เราควรมอบเจตนารมณ์ของเราแด่พระเจ้า และปรารถนาให้ทุกสิ่งในชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราควรลงมือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การที่เราถวายตัวของเรา จิตใจของเรา และความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น