วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชุมชนคนมีชีวิตเต็มร้อย

ชุมชนคนมีชีวิตเต็มร้อย
กิจการ 2.37-47 
      - ในสังคมปัจจุบันมี ชุมชน มากมาย แต่ชุมชนหนึ่งที่สำคัญ คือ ชุมชนคนของพระเจ้า เป็นชุมชนที่พระเยซูตั้งขึ้น เมื่อกว่า 2000ปีที่ผ่านมา เป็นชุมชนเข้มแข็ง เปลี่ยนแปลงโลก คือ ชุมชนคริสตจักร หรือ ชุมชนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์                              
      - ​หลังจากสาวกประมาณ 120 คน รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณในวันเพนเทคอสต์  ต่อเนื่องจากวันนั้นมีคนยิวจากทั่วโลก ได้เดินทางมาร่วมในเทศกาลสำคัญของชาวยิว และในวันนั้นมีคนประมาณ 3,000 คน ได้กลับใจใหม่ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เปลี่ยนทางการดำเนินชีวิต
      - เมื่อพวกเขาได้ฟังคำพยานของอัครทูตเปโตรแล้ว  พวกเขารู้สึกแปลบปลาบใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำงานผ่านทางคำพยานของเปโตร ไปถึงชีวิตของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้ฟังแล้วจึงสัมผัสได้ถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้า ในชีวิตของพวกเขา  พวกเขาจึงถาม เปโตรว่า “ ...เราจะทำอย่างไรดี(ที่มีชีวิตเต็มร้อยในพระเจ้าได้)"
      จากพระวจนะของพระเจ้า พระธรรมกิจการฯ 2.37-47  ได้บอกถึงสิ่งที่เราจะต้องกระทำตาม อย่างน้อย 3  ประการที่จะทำให้เราเป็น "ชุมชนคนที่มีชีวิตเต็มร้อย"

ประการที่ 1  เราต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( ข้อ 38)

            ​การกลับใจใหม่และการรับบัพติสมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ เป็นกระบวนการการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์  
การกลับใจใหม่เป็นการหันหลังกลับจากวิถีชีวิตเก่า ความเชื่อเก่า การดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ไม่ได้อยู่ในทางของพระเจ้า  การดำเนินชีวิตที่พึ่งแต่กำลังตัวเอง สติปัญญาตัวเอง  เราต้องกลับใจใหม่และนำชีวิตของเราเข้าไป อยู่ในพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง  
           การบัพติสมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ คือการที่เรามีชีวิตอยู่ในพระองค์ และพระเยซูคริสต์ มีชีวิตอยู่ในเราอย่างแท้จริง  ชีวิตของเราจะถูกสร้างใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับสถิตอยู่ในชีวิตของเรา เมื่อเราได้กลับใจและรับบัพติสมาในพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา และเรามีชีวิตในพระองค์อย่างแท้จริง

ประการที่ 2  เราต้องรับการเสริมสร้างชีวิตให้เติบโตขึ้น (ข้อ 42)

              เราต้องรับการเสริมสร้างชีวิตให้เจริญเติบโตขึ้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า (ขะมักเขม้นในการฟังคำสอนจากอัครทูต) ชีวิตของคริสเตียน จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน ชีวิตเราจะต้องมีความปรารถนาที่จะรู้จัก และมีประสบการณ์ชีวิตกับพระเยซูคริสต์ ให้มากขึ้น ทุกวันๆ พระวจนะหรือพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยสำแดงพระองค์ให้เรารู้จักพระองค์ เพื่อชีวิตของเราจะได้เจริญเติบโตขึ้น ในพระองค์ มากขึ้นทุกวันๆ
             เราต้องรับการเสริมสร้างชีวิตให้เจริญเติบโตขึ้นด้วยการร่วมสามัคคีธรรม กับ ผู้เชื่อด้วยกัน เพื่อพัฒนาชีวิตของซึ่งกันและกัน  คริสเตียนต้องไม่ขาดการสามัคคีธรรม    ร่วมกับพี่น้อง คริสเตียนด้วยกัน  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสตรี อนุชน กลุ่มอธิษฐาน กลุ่มตามบ้าน  เพราะกลุ่มสามัคคีธรรมต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยพัฒนาชีวิตของเราให้เจริญเติบโตขึ้นในพระเจ้า
             เราต้องรับการเสริมสร้างด้วยการนมัสการพระเจ้า การนมัสการเป็นการที่เราถ่อมชีวิตจิตใจของเราลง แล้วยกพระเจ้าขึ้นสูงสุดในชีวิตของเรา  เมื่อชีวิตของเรายกพรเจ้าขึ้น พระเจ้าก็จะทรงยกเราขึ้นเช่นกัน  แต่ถ้าชีวิตของเราไม่ได้ถ่อมลงและยกพระเจ้าขึ้น ชีวิตของเราในพระเจ้าก็จะตกต่ำลง  การดำเนินชีวิตที่ยกย่อง ให้เกียรติแด่พระเจ้า ถือเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยเช่นกัน
             เราต้องรับการเสริมสร้างด้วยอธิษฐาน  การอธิษฐานเป็นการสำแดงความเชื่อที่เรามีต่อพระเจ้าออกมา เป็นการที่เรามอบชีวิตและพึ่งพิงอยู่ในพระองค์ การอธิษฐานเป็นการสนทนากับพระเจ้าแสดงถึงความสัมพันธ์สนิทที่เรามีต่อพระเจ้า  เมื่อชีวิตของเราติดสนิทกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ชีวิตของเราก็เจริญเติบโต เกิดผลในพระเจ้า

ประการที่ 3  เราต้องรักและรับใช้ซึ่งกันและกันในสังคม ชุมชนนี้   ( ข้อ 44-46)

              ตั้งแต่วันแรกที่เรารับเชื่อพระเจ้า เป็นวันที่เราได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เราเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในการที่จะทำให้พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าในการขยายแผ่นดิน การครอบครองของพระเจ้าให้สำเร็จ ในท่ามกลางสังคม ชุมชนที่เราอาศัยอยู่ และจนสุดปลายแผ่นดินโลก
              ชีวิตคริสเตียนต้องรักซึ่งกันและรับใช้ซึ่งกันและกัน เพราะเราเป็นอวัยวะในร่างกายเดียวกัน คือเป็นพระวรกายของพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เราเป็นอวัยวะที่ต่างกันเพื่อจะได้รับใช้ช่วยเหลือเจือจุนซึ่งกันและกัน
ชีวิตคริสเตียนต้องรับใช้เพื่อนบ้าน คนที่อยู่ในชุมชน สังคม  จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง เป็นพระมหาบัญญัติ ที่พระเจ้าต้องการให้สำเร็จในชีวิตของเราทั้งหลายทุกคน ที่ได้รับการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

             ตัวอย่าง. รถโฆษณาคันหนึ่งเขียนว่า "การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การให้อภัย" ขออภัยที่เสียงโฆษณาดังรบกวนท่าน

สรุป.  เมื่อชีวิตคริสเตียนที่ดีได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนทั้งปวง  พวกเขาก็จะสรรเสริญพระเจ้า และมีความประทับใจ พระเจ้าก็จะทรงทำงานของพระองค์ในชีวิตจิตใจของคนเหล่านั้น และเขาก็จะได้รับความรอดจาก    พระเจ้า( ข้อ 47)
​        พี่น้องทั้งหลาย  พระเจ้าทรงมีพระราชประสงค์ให้ชีวิตของเราทุกได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์  รับการเสริมสร้างชีวิตให้เติบโตเข้มแข็ง เพื่อที่เราจะรักและรับใช้ซึ่งกันและกัน รับใช้เพื่อนบ้าน ประกาศเป็นพยานข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเราจะเป็น "ชุมชนคนที่มีชีวิตเต็มร้อย " ในพระเจ้า

ชีวิตเต็มร้อยด้วยการเต็มล้น

ก้าวสู่ปีใหม่ “ชีวิตเต็มร้อยด้วยการเต็มล้น” (ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์)                                            
กจ.1.4-8                                                              
• สวัสดีปีใหม่ สันติสุข และความเจริญรุ่งเรืองจงมีแก่ทุกคน ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคน คิดดี พูดดี ทำดี มีชีวิตเต็มร้อยกับพระเจ้า รับพระพรเต็มร้อยกับพระเจ้า (บอกกับคนข้างๆ)
• การเริ่มต้นดี ก็มีชัยไปครึ่งหนึ่ง
• วันนี้เราจะก้าวสู่ปีใหม่ 2012 ด้วย “ชีวิตเต็มร้อยด้วยการเต็มล้น” (ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์)
• หัวข้อวันนี้ คือ “ชีวิตเต็มร้อยด้วยการเต็มล้น”                                          
• การก้าวสู่และก้าวไปในปีใหม่นี้ ปีที่ชีวิตเต็มร้อย เราจะต้องการไปด้วยการมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  
• การมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียน และการรับใช้ เป็นอย่างมาก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ที่ประทานฤทธิ์เดชในการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยชัยชนะและการรับใช้ให้เกิดผลให้กับชีวิตของเรา  ชีวิตที่ให้พระเจ้าไม่เต็มร้อยเพราะขาดกำลัง ก็จะได้รับการเติมเต็มด้วยกำลังฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เต็มล้นในชีวิตของเรา
• จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราเห็นถึงเหตุผลสำคัญของการมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า อย่างน้อย 3 ประการ  ดังนี้ คือ
1. เพราะเป็นความต้องการของพระเจ้าที่จะให้สาวกของพระเยซูมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ จึงทรงสัญญาไว้ (กจ.1.4)
การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นความบังเอิญแต่เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าไว้ล่วงหน้า เป็นเวลาซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ ตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์  
เพราะพันธกิจนี้เป็นแผนการ การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ที่จะนำให้มนุษย์ กลับคืนดีกับพระองค์ เป็นแผนการแห่งการขยายแผ่นดินของพระเจ้า หรือขยายการครอบครองของพระเจ้าในท่ามกลางชีวิตของมนุษย์
เพราะฉะนั้น ชีวิตของพวกสาวกจำเป็นต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อชีวิตของพวกเขาจะสามารถดำเนินชีวิต และรับใช้พระเจ้า ในท่ามกลางสังคม ชุมชน ที่มีความกดดันอยู่รอบด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ชีวิตของสาวกจำเป็นที่จะต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะขับเคลื่อนชีวิตให้ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
2. เพราะเป็นความต้องการของพระเยซูคริสต์ที่จะให้สาวกของพระองค์เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์      
( กจ.1.4-5)
พระเยซูคริสต์จึงทรงกำชับ(สั่ง)ให้สาวกรอคอยที่จะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.1.4)     เพราะพระเยซูทรงทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นของการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพวกสาวกของพระองค์ก่อนที่พวกเขาจะออกไปทำตามพระมหาบัญชามอบหมายให้สำเร็จ ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ สิ่งใหม่ในชีวิต (ก้าวสู่ปีใหม่ 2012)
พวกสาวกจำเป็นที่จะต้องรับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสียก่อน  พวกเขาจึงจะมีพลังที่จะอุทิศถวายตัวแด่พระเยซูได้อย่างเต็มร้อย  และทำให้พระมหาบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูนั้นให้สำเร็จได้ พวกเขาทั้งหลายจะต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญบริสุทธิ์ของพระเจ้าก่อน และเต็มล้นอยู่เสมอ(บัพติสมา)
พระเยซูทรงทราบดีว่าฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของสาวก และเป็นพลังขับเคลื่อนการรับใช้ของสาวก
พระเยซูคริสต์จึงได้กำชับ สาวกของพระองค์ให้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรอรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้สาวกของ  พระองค์เต็มด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเมื่อพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป จากคนที่ขี้ขลาด เห็นแก่ตัวเอง คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของ
ตัวเองและพวกพ้อง เป็นคนที่อุทิศชีวิตเพื่อพระเจ้า
เมื่อพวกเขาได้รับการเติมเต็มด้วยฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตแห่งการรับใช้ของเขาจึงเกิดผล ประสบกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และพวกสาวกได้อุทิศชีวิตของพวกเขาเพื่อพระเยซูคริสต์ ยอมตายเพื่อพระองค์ ไม่ได้หนี ไม่ได้ทอดทิ้งพระเยซูคริสต์ไปเหมือนเมื่อก่อน ชีวิตและการรับใช้ของพวกสาวกได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะว่าชีวิตของพวกเขาได้รับการเติมให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
3. เพราะเป็นความจำเป็นของเรา(สาวก)ที่ต้องรับเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อมีชีวิตที่เต็มด้วยฤทธิ์และเต็มร้อยในการรับใช้ (กจ.1.8)
จากพระธรรมกิจการ บทที่ 1.8 พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า “8แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช   เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน   และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม   ทั่วแคว้นยูเดีย   แคว้นสะมาเรีย   และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”  เป็นการรับฤทธิ์เดชเพื่อการประกาศ การเป็นพยาน เพื่อการรับใช้
การรับใช้พระเจ้าในชีวิตของเราจะต้องเป็นการรับใช้ที่ถูกขับเคลื่อนและผลักดันไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ถูกขับเคลื่อนและผลักดันไปด้วยสิ่งอื่นๆ หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เดชและพระประสงค์ของพระเจ้า
เมื่อชีวิตของเราได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอแล้ว จะทำให้ชีวิตในการรับใช้พระเจ้าของเราก็สามารถไปถึงเป้าหมายปลายทางตาม   พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
ฉะนั้น  ชีวิตของเราจะต้องเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ เพื่อที่ชีวิตของเราจะเต็มไปด้วยพลังในการดำเนินชีวิตและการรับใช้  “ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ หรือ แรง กำลังของเรา แต่ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”
สรุป  ขอให้ปี 2012 นี้ ให้เราทุกคนเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อชีวิตของเราจะเต็มร้อยกับพระเจ้าในการดำเนินชีวิตและการรับใช้ ​เราจะมีชีวิตเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วยการ ….
1. เอาจริงเอาจังในการนมัสการพระเจ้า
2. เอาจริงเอาจังในพระวจนะของพระเจ้า
3. เอาจริงเอาจังในการอธิษฐาน
4. เอาจริงเอาจังในการร่วมสามัคคีธรรม สร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
5. เอาจริงเอาจังในการรับใช้ การประกาศ เป็นพยาน นำคนมารู้จักกับพระเจ้า
อธิษฐาน...

รักเต็มร้อย

รักเต็มร้อย  

ยอห์น 3.16  ,1 ยอห์น 4:7-21                        

           พี่น้องทั้งหลายคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า  “ ความรักทำให้คนตาบอด”  และดูเหมือนว่าคำพูดนี่จะเป็นความจริงเสียด้วย  เพราะว่า ไม่นานมานี่ได้มีศาสตราจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้ทำวิจัยสมองของคนที่ขณะมีความรักพบว่า สมองของคนที่อยู่ในอารมณ์ที่มีความรัก มีการทำงานของสมองน้อยมาก  เพราะสมองจะหลั่งสารอ๊อกซิโตซีนออกมา สารนี้จะทำให้สมองทำงานน้อยลงและจะทำให้คนๆนั้นใช้ความรู้สึก(ใจ)มากกว่าใช้เหตุผล(สมอง)  บางครั้งเราจึงเห็นคนที่มีความรักทำอะไรบางอย่างแบบไม่มีเหตุผล(สมอง)  ทำในสิ่งที่คนที่อยู่ในภาวะปกติจะไม่ทำกัน  ถ้าเป็นเรื่องบวกก็ดีไปและถ้าเป็นเรื่องลบก็แย่  นี่แหละเรียกว่า ความรักทำให้คนตาบอด
            มีคนกล่าวว่า “ถ้าเอาความรักของพระเจ้าออกจากพระคัมภีร์ เราคงต้องฉีกพระคัมภีร์ทุกหน้าทิ้ง” เพราะพระคัมภีร์ทั้งหมดได้สื่อสารเรื่องราวความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชนชั้น วรรณะ เพราะความรักที่พระเจ้ามีให้กับมนุษย์นั้นเป็นความรักที่เต็มร้อย โดยการให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ เพื่อช่วยโลกนี้ให้รอดจากความพินาศ ด้วยการตายบนไม้กางเขนเพื่อบาปของเราทั้งหลาย
จากพระวจนะของพระเจ้า อัครทูตยอห์นได้บอกว่า ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เช่นนั้นคือรักเต็มร้อย เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย
ทำไมเราถึงต้องรักซึ่งกันและกัน ?
1) เพราะพระเยซูทรงต้องการให้เรารักซึ่งกันและกัน
พระเยซูได้ให้บัญญัติใหม่แก่สาวกของพระองค์ใน ยอห์น 13:34-35 “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
บัญญัติของพระเจ้าง่ายๆ คือ “รักซึ่งกันและกัน” ความเข้มแข็งของคริสตจักรไม่ได้หมายความเพียงว่าเราแต่ละคนมีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น แต่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้องคริสเตียนด้วยกันด้วย
ในกิจการ 2:44-45 คริสตจักรยุคแรก พวกเขารักกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่เพราะอัครทูตออกคำสั่งให้เขาทำ แต่ที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ผูกพันใจพวกเขาเข้าด้วยกัน  ยิ่งถูกข่มเหงถูกกดดัน ข่มเหง  แต่เขาก็ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ และรักกัน ทำให้คริสเตียนยิ่งเพิ่มมากขึ้น  
           ​1 ยอห์น 3:17 อ.เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงพี่น้องคริสตจักรเมืองเอเฟซัส และอีกหลายๆ แห่งในอาณาจักรโรม ว่า “แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้”
การรักพระเจ้าและรักพี่น้องไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำด้วย คือ การแบ่งปันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วอาณาจักรโรม เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือพวกเขารักพระเจ้าและพวกเขารักซึ่งกันและกัน
2)​เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการรักซึ่งกันและกัน
         มาตรฐานความรักของพระเยซูคริสต์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมาตรฐานความรักของโลก เพราะว่าพระองค์รักด้วยการเสียสละชีวิต พระองค์ให้ชีวิตพระองค์เองแก่สาวกตลอด 3 ปี พระองค์แบ่งปันทุกสิ่งที่พระองค์ได้รับจากพระบิดาให้กับสาวก ไม่ว่าจะเป็นคำสอน การดำเนินชีวิต วิธีการเผชิญปัญหา สิทธิอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ พระองค์ทรงให้กับสาวก
ความรักของพระเยซูคริสต์คือ การให้ชีวิต ให้เวลา พระองค์ทุ่มเทเพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นทีมเดียวกัน พระองค์ร่วมเผชิญปัญหา ความสุข ความทุกข์ กินด้วยกัน อดด้วยกัน นี้คือแบบอย่างที่พระองค์ปรารถนาให้เราเรียนรู้และทำตาม
เราต้องให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ของเรา ที่เรารักซึ่งกันและกันได้โดยมองดูที่พระองค์ เพราะพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์มีความถ่อมใจและปรนนิบัติพวกเขา พระองค์ทำทุกสิ่งเพียงเพื่อจะให้พวกเขารู้ว่าเมื่อรักแล้วก็ต้องปรนนิบัติรับใช้ พระองค์สอนเขาและทำให้พวกเขาดูด้วย
ในยอห์น 13:1 บอกว่า “ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหา    พระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” พระเยซูลุกขึ้นล้างเท้าสาวก พระองค์กำลังสอนเขาถึงความรัก เมื่อมีความรักก็สามารถที่จะแสดงความถ่อมใจรับใช้คนอื่นด้วยความจริงใจ
           พระเยซูสำแดงความรักเป็นแบบอย่างให้แก่สาวกอย่างไร ?
1) ทรงให้อภัย
เรามาหาพระองค์เพราะอะไร? ก็เพราะว่าเราต่างก็มีปัญหา ถามว่าพวกสาวกมีปัญหาหรือเปล่า ? มีครับ ทะเลาะกันไหม? ทะเลาะครับ... แก่งแย่งกันใครจะใหญ่กว่าใคร ใครจะนั่งข้างซ้ายใครจะนั่งข้างขวา เราพบว่าความรักที่พระเยซูคริสต์แสดงแก่พวกสาวกก็คือ การให้อภัย.. พระองค์อดทนต่อพวกเขาแม้เขาจะปฏิเสธพระองค์ละทิ้งพระองค์ไป
เปโตรปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งว่าไม่รู้จักพระองค์ เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เสด็จไปหาเขาจิตใจพระองค์ผูกผันและให้อภัยสาวก พระองค์ถามเปโตรว่า “เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ? และพระองค์บอกเปโตรว่า “จงเลี้ยงแกะของเรา”  พระองค์ทรงเห็นว่าเขายังเป็นคนที่ใช้การได้ พระองค์ทรงให้อภัยแก่เขา
กาลาเทีย 6:1-2 อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่าย            พระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุขภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเองเกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติ(รัก)ของพระคริสต์”
ความรักที่พระเยซูมีต่อพวกสาวกทำให้พระองค์ตามเขากลับมา แม้พวกเขาออกนอกน้ำพระทัยพระเจ้าหนีกลับไปจับปลา พระองค์ไม่รอให้เขามาหาพระองค์ แต่พระองค์เสด็จไปหาเขาด้วยความรักให้เขากลับมาสู่งานรับใช้กลับมาสู่พันธกิจของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
2) รู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน
ธรรมชาติของมนุษย์เราก็คือ เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง  ซึ่งนำไปสู่การขัดแย้ง และแตกแยก แน่นอนถ้าเราคิดและทำอย่างนั้น
โคโลสี 3:13 กล่าวไว้ว่า “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกันองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราอะลุ่มอล่วยกับความบาป แต่ให้เรารู้จักยอมรับกันและกันในความแตกต่าง ในความไม่เหมือนกัน เพราะว่าเราทั้งหลายมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น เราต้องให้อภัยพี่น้องถ้าเรารักพระเจ้าเราก็ต้องให้อภัยและรักเขาให้ได้  เปาโลได้บอกว่า “จงสวมความรักทับสิ่งแหล่านี้ทั้งหมดเพราะว่าความรักย่อมผูกผันทุกสิ่งไว้ให้ถึงความสมบูรณ์…ความรักลบล้างความผิดบาปมากมายได้”
ถ้าเรามีความรักต่อพระเจ้า แน่นอนเราก็สามารถที่จะรักคนอื่นได้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม และพระเจ้าจะสามารถทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิต ในคริสตจักรของเรามากยิ่งขึ้น ถ้าหากเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน      
พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเต็มร้อย เราก็ควรรักซึ่งกันและกันเต็มร้อยเช่นเดียวกัน ด้วยการให้อภัยกันเต็มร้อย และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน (ตัวอย่าง การซ่อมถนนป่าตัน มีป้ายเขียนไว้ว่า “ขออภัยในความไม่สะดวกเพราะกำลังก่อสร้าง” กรุณาใช้ทางเบี่ยง ) เราทุกคนกำลังรับการสร้างจากพระเจ้าจึงไม่มีใครสมบูรณ์แบบในโลกนี้ แต่เมื่อเราไปที่สวรรค์แล้วเราทุกคนจะสมบูรณ์แบบ