วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักเต็มร้อย

รักเต็มร้อย  

ยอห์น 3.16  ,1 ยอห์น 4:7-21                        

           พี่น้องทั้งหลายคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า  “ ความรักทำให้คนตาบอด”  และดูเหมือนว่าคำพูดนี่จะเป็นความจริงเสียด้วย  เพราะว่า ไม่นานมานี่ได้มีศาสตราจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้ทำวิจัยสมองของคนที่ขณะมีความรักพบว่า สมองของคนที่อยู่ในอารมณ์ที่มีความรัก มีการทำงานของสมองน้อยมาก  เพราะสมองจะหลั่งสารอ๊อกซิโตซีนออกมา สารนี้จะทำให้สมองทำงานน้อยลงและจะทำให้คนๆนั้นใช้ความรู้สึก(ใจ)มากกว่าใช้เหตุผล(สมอง)  บางครั้งเราจึงเห็นคนที่มีความรักทำอะไรบางอย่างแบบไม่มีเหตุผล(สมอง)  ทำในสิ่งที่คนที่อยู่ในภาวะปกติจะไม่ทำกัน  ถ้าเป็นเรื่องบวกก็ดีไปและถ้าเป็นเรื่องลบก็แย่  นี่แหละเรียกว่า ความรักทำให้คนตาบอด
            มีคนกล่าวว่า “ถ้าเอาความรักของพระเจ้าออกจากพระคัมภีร์ เราคงต้องฉีกพระคัมภีร์ทุกหน้าทิ้ง” เพราะพระคัมภีร์ทั้งหมดได้สื่อสารเรื่องราวความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชนชั้น วรรณะ เพราะความรักที่พระเจ้ามีให้กับมนุษย์นั้นเป็นความรักที่เต็มร้อย โดยการให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ เพื่อช่วยโลกนี้ให้รอดจากความพินาศ ด้วยการตายบนไม้กางเขนเพื่อบาปของเราทั้งหลาย
จากพระวจนะของพระเจ้า อัครทูตยอห์นได้บอกว่า ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เช่นนั้นคือรักเต็มร้อย เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย
ทำไมเราถึงต้องรักซึ่งกันและกัน ?
1) เพราะพระเยซูทรงต้องการให้เรารักซึ่งกันและกัน
พระเยซูได้ให้บัญญัติใหม่แก่สาวกของพระองค์ใน ยอห์น 13:34-35 “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
บัญญัติของพระเจ้าง่ายๆ คือ “รักซึ่งกันและกัน” ความเข้มแข็งของคริสตจักรไม่ได้หมายความเพียงว่าเราแต่ละคนมีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น แต่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้องคริสเตียนด้วยกันด้วย
ในกิจการ 2:44-45 คริสตจักรยุคแรก พวกเขารักกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่เพราะอัครทูตออกคำสั่งให้เขาทำ แต่ที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ผูกพันใจพวกเขาเข้าด้วยกัน  ยิ่งถูกข่มเหงถูกกดดัน ข่มเหง  แต่เขาก็ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ และรักกัน ทำให้คริสเตียนยิ่งเพิ่มมากขึ้น  
           ​1 ยอห์น 3:17 อ.เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงพี่น้องคริสตจักรเมืองเอเฟซัส และอีกหลายๆ แห่งในอาณาจักรโรม ว่า “แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้”
การรักพระเจ้าและรักพี่น้องไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำด้วย คือ การแบ่งปันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วอาณาจักรโรม เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือพวกเขารักพระเจ้าและพวกเขารักซึ่งกันและกัน
2)​เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการรักซึ่งกันและกัน
         มาตรฐานความรักของพระเยซูคริสต์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมาตรฐานความรักของโลก เพราะว่าพระองค์รักด้วยการเสียสละชีวิต พระองค์ให้ชีวิตพระองค์เองแก่สาวกตลอด 3 ปี พระองค์แบ่งปันทุกสิ่งที่พระองค์ได้รับจากพระบิดาให้กับสาวก ไม่ว่าจะเป็นคำสอน การดำเนินชีวิต วิธีการเผชิญปัญหา สิทธิอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ พระองค์ทรงให้กับสาวก
ความรักของพระเยซูคริสต์คือ การให้ชีวิต ให้เวลา พระองค์ทุ่มเทเพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นทีมเดียวกัน พระองค์ร่วมเผชิญปัญหา ความสุข ความทุกข์ กินด้วยกัน อดด้วยกัน นี้คือแบบอย่างที่พระองค์ปรารถนาให้เราเรียนรู้และทำตาม
เราต้องให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ของเรา ที่เรารักซึ่งกันและกันได้โดยมองดูที่พระองค์ เพราะพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์มีความถ่อมใจและปรนนิบัติพวกเขา พระองค์ทำทุกสิ่งเพียงเพื่อจะให้พวกเขารู้ว่าเมื่อรักแล้วก็ต้องปรนนิบัติรับใช้ พระองค์สอนเขาและทำให้พวกเขาดูด้วย
ในยอห์น 13:1 บอกว่า “ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหา    พระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” พระเยซูลุกขึ้นล้างเท้าสาวก พระองค์กำลังสอนเขาถึงความรัก เมื่อมีความรักก็สามารถที่จะแสดงความถ่อมใจรับใช้คนอื่นด้วยความจริงใจ
           พระเยซูสำแดงความรักเป็นแบบอย่างให้แก่สาวกอย่างไร ?
1) ทรงให้อภัย
เรามาหาพระองค์เพราะอะไร? ก็เพราะว่าเราต่างก็มีปัญหา ถามว่าพวกสาวกมีปัญหาหรือเปล่า ? มีครับ ทะเลาะกันไหม? ทะเลาะครับ... แก่งแย่งกันใครจะใหญ่กว่าใคร ใครจะนั่งข้างซ้ายใครจะนั่งข้างขวา เราพบว่าความรักที่พระเยซูคริสต์แสดงแก่พวกสาวกก็คือ การให้อภัย.. พระองค์อดทนต่อพวกเขาแม้เขาจะปฏิเสธพระองค์ละทิ้งพระองค์ไป
เปโตรปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งว่าไม่รู้จักพระองค์ เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เสด็จไปหาเขาจิตใจพระองค์ผูกผันและให้อภัยสาวก พระองค์ถามเปโตรว่า “เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ? และพระองค์บอกเปโตรว่า “จงเลี้ยงแกะของเรา”  พระองค์ทรงเห็นว่าเขายังเป็นคนที่ใช้การได้ พระองค์ทรงให้อภัยแก่เขา
กาลาเทีย 6:1-2 อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่าย            พระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุขภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเองเกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติ(รัก)ของพระคริสต์”
ความรักที่พระเยซูมีต่อพวกสาวกทำให้พระองค์ตามเขากลับมา แม้พวกเขาออกนอกน้ำพระทัยพระเจ้าหนีกลับไปจับปลา พระองค์ไม่รอให้เขามาหาพระองค์ แต่พระองค์เสด็จไปหาเขาด้วยความรักให้เขากลับมาสู่งานรับใช้กลับมาสู่พันธกิจของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
2) รู้จักการผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน
ธรรมชาติของมนุษย์เราก็คือ เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง  ซึ่งนำไปสู่การขัดแย้ง และแตกแยก แน่นอนถ้าเราคิดและทำอย่างนั้น
โคโลสี 3:13 กล่าวไว้ว่า “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกันองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราอะลุ่มอล่วยกับความบาป แต่ให้เรารู้จักยอมรับกันและกันในความแตกต่าง ในความไม่เหมือนกัน เพราะว่าเราทั้งหลายมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น เราต้องให้อภัยพี่น้องถ้าเรารักพระเจ้าเราก็ต้องให้อภัยและรักเขาให้ได้  เปาโลได้บอกว่า “จงสวมความรักทับสิ่งแหล่านี้ทั้งหมดเพราะว่าความรักย่อมผูกผันทุกสิ่งไว้ให้ถึงความสมบูรณ์…ความรักลบล้างความผิดบาปมากมายได้”
ถ้าเรามีความรักต่อพระเจ้า แน่นอนเราก็สามารถที่จะรักคนอื่นได้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม และพระเจ้าจะสามารถทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิต ในคริสตจักรของเรามากยิ่งขึ้น ถ้าหากเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน      
พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเต็มร้อย เราก็ควรรักซึ่งกันและกันเต็มร้อยเช่นเดียวกัน ด้วยการให้อภัยกันเต็มร้อย และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน (ตัวอย่าง การซ่อมถนนป่าตัน มีป้ายเขียนไว้ว่า “ขออภัยในความไม่สะดวกเพราะกำลังก่อสร้าง” กรุณาใช้ทางเบี่ยง ) เราทุกคนกำลังรับการสร้างจากพระเจ้าจึงไม่มีใครสมบูรณ์แบบในโลกนี้ แต่เมื่อเราไปที่สวรรค์แล้วเราทุกคนจะสมบูรณ์แบบ  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น