วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ฟังให้ได้ยินและทำตาม

ฟังให้ได้ยินและทำตาม

มัทธิว 7.24-27
คำนำ

1. วันนี้เป็นวันระลึกอนุชน สภาคริสตจักรฯ อนุชนเป็นอนาคตของคริสตจักร ต้องวางรากฐานที่ดี ฝึกฝนชีวิตและการรับใช้. สร้างอนุชนในวันนี้เพื่อจะไม่เสียใจในวันหน้า ขอพระเจ้าอวยพรอนุชนทุกคน(อนุชนยืนขึ้น)

2. ยินดีต้อนรับสู่ซีรีย์การเสริมสร้างชีวิตตอน 3 "ฟังให้ได้ยินและทำตาม" (ความบกพร่องฝ่ายวิญญาณ อาหารฝ่ายวิญญาณ)

3. มีคนกล่าวว่าอย่าฟังด้วยหูเท่านั้นแต่จงฟังด้วยตาและด้วยใจ เพราะการฟังเพียงหูอาจจะไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ มีการทำวิจัยพบว่าสิ่งที่เราฟังเมื่อเวลาผ่านไป 72 ชั่วโมง เราจะจำได้ 5 % ของสิ่งที่เราฟัง

คนในปัจจุบันฟังด้วยตามากขึ้น เพราะเทคโนโลยี่การสื่อสารทันสมัยมากขึ้น ทำให้คนเห็นอะไรๆได้ง่าย กว้าง ไกลขึ้น คนจึงเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นมากกว่าสิ่งที่ตนฟัง ดังนั้นจึง"ดีแต่พูด" หรือ"ดีแต่โม้" ไม่ได้ ต้องมีการกระทำให้เห็นเป็นประจักษ์คนจึงจะเชื่อ ถ้าเราบอกว่าพระเจ้าดีเราต้องดีด้วยคนจึงจะเชื่อว่าพระเจ้าดีจริง

ในพระคัมภีร์ พระเยซูได้กล่าวถึงคนฉลาดที่รู้จักฟังให้ได้ยินแล้วทำตามสิ่งที่ตนเองได้ยินจากพระเยซูจึงทำให้ชีวิตมีความมั่นคง

จากพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้จะเห็นถึงวิธีที่ทำให้ชีวิตของเรามีความมั่นคง เจริญขึ้น พบความสำเร็จ อย่างน้อย 2 ประการ คือ...
1 ฟังพระคัมภีร์จนได้ยินเสียงของพระเจ้า

เราสามารถฟังพระวจนะได้หลายทาง จากการอ่าน ฟังเทศน์ ศึกษา สนทนาธรรม แต่สิ่งสำคัญยิ่งที่จะทำให้เราได้มีความมั่นคงในชีวิตนั้นเราต้องได้ยินเสียงแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเยซูได้ตรัสถึงคนที่ได้ยินคำของพระองค์ คำว่า"ได้ยิน"(อคูเอโอ) ฟังตลอดเวลา คือ ให้พระคำเข้าหู เข้าหัว และ เข้าใจ understand(อยู่ใต้ธรรมมาส)กลายเป็นปัญญา wisdom ไม่ใช่ เป็นเพียง knowledge ที่เป็นเพียงความรู้ ซึ่งบางเรื่องเรามีมากพอแล้ว แต่ปัญญาจะทำให้เราเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า
ฟังพระวจนะอย่างไรจึงจะได้ยิน เข้าใจเกิดปัญญา และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า

-ฟังอย่างตั้งใจ /ขะมักเขม้น/จดจ่อ/ใส่ใจ แบบคริสเตียนสมัยแรก

-ฟังอย่างถ่อมใจ/เปิดใจออก/รับเอาพระวจนะเข้าไปในจิตใจ น้อมรับพระวจนะว่าเป็นพระดำรัสของพระเจ้า

-ฟังด้วยความเชื่อศรัทธาเลื่อมใสเหมือนชาวเธสะโลนิกาที่มีใจศรัทธาในพระวจนะของพระเจ้าจึงค้นดูทุกวัน
2 ทำตามพระคัมภีร์จนชีวิตมีความมั่นคงในพระเจ้า

พระเยซูได้เปรียบเทียบคนที่ทำตามพระวจนะเหมือน"คนมีปัญญา"ที่สร้างบ้านไว้"บนศิลา" การสร้างบ้านบนศิลาเป็นการสร้างบ้านที่มั่นคง การสร้างบ้านบนทรายสร้างง่าย ลงทุนน้อย แต่ไม่มั่นคง การสร้างบ้านบนศิลาสร้างไม่ง่าย ต้องลงทุนมากกว่าแต่มีความมั่นคง ต้องขน(ขนขึ้นภูเขา)ต้องขุด ต้องเจาะ (ขุดเจาะลงไปในหิน) เพื่อจะวางรากฐานให้มั่นคง

 
เราจะทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?

-ทำตามอย่างพินิจพิจารณาและตั้งมั่น (ยากอบ 1.25) "แต่ผู้ที่พนิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นบัญญัติแห่งเสรีภาพและตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นผู้ฟังแล้วก็ลืมแต่เป็นผู้ที่ประพฤติตามผู้นั้นก็จะได้รับความสุขเพราะการประพฤตินั้น"
-ทำตามทั้งหมด ทุกประการ ไม่หลีกเลี่ยง ไม่ตัดทอน ไม่ลดคุณค่าของพระวจนะ(โยชูวา 1.7-8)"เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามพระวจนะทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือซ้ายมือ เพื่อเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้นแล้วเจ้าจะมีความเจริญและประสบความสำเร็จ"

การทำตามพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้า จะทำให้ชีวิตได้รับพระพร รับความสุข ประสบความสำเร็จและความเจริญขึ้น
สรุป การได้ยินและทำตามพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้ชีวิตของเรามีความมั่นคง ทั้งกาย จิตใจและวิญญาณ เมื่อชีวิตมีความมั่นคงแล้วก็ตั้งมั่นอยู่ได้แม้ต้องเผชิญกับคลื่นลม มรสุม กระแสอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ชีวิตก็ไม่หวั่นไหวเพราะชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูมิคุ้มกัน(ฝ่ายวิญญาณ)บกพร่อง

ภูมิคุ้มกัน(ฝ่ายวิญญาณ)บกพร่อง


มัทธิว 5:3

คำนำ เมื่อกล่าวถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทาน มีหลายโรค เช่น โรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิตนเอง(SLE)โรคเอดส์เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง(HIV) เป็นต้น ในร่างกายของเรามีเม็ดเลือดขาว(CD4) ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย และทำลายเชื้อโรคนั้น ทำให้คนเราไม่เจ็บป่วย แต่เมื่อคนใดรับเชื้อไวรัส HIV (HIV ย่อจาก Human immunodeficiency virus) เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเสื่อม หรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง และเรื้อรัง เราเรียกว่าเอดส์ (AIDS) ย่อมาจากคำว่า Acquired immunodeficiency syndrome ซึ่งแปลว่า “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง” เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี คนที่เป็นโรคเอดส์ ถ้าไม่ได้กินยาต้านไวรัส และดูแลรักษาสุขภาพให้ดีก็จะเสียชีวิตในที่สุด

โรคเอดส์ทำให้คนเป็นตาย (ถ้าไม่ได้รับการรักษา กินยาต้าน ดูแลสุขภาพ) โรค(ไวรัส)บาปก็ทำให้คนทุกคนตาย เพราะทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (รม.3.23)





โรคความบาป เป็นอาการของคนที่ติดเชื้อ “ไวรัสแห่งการไม่เชื่อฟังพระเจ้า” ที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตที่บกพร่องทั้ง ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ    ทำให้มนุษย์ต้องพบกับความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ทำบาป พบกับความตายทั้งกาย ใจ และวิญญาณ



พระเยซูได้บอกวิธีรักษาโรคบาป ที่นำชีวิตไปสู่ความตาย พระเยซูบอกไวรัสฆ่าความบาป ไม่ใช่ต้านแบบไวรัสต้านเอดส์ แต่เป็นยาฆ่าความบาป คือ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด



วิธีกินยาต้านไวรัสเอดส์

1. CD4 ต้องต่ำกว่า 250 (300)

2. กินตรงเวลา ระยะห่างกัน 12 ชม.

3. กินตลอดชีวิต



มัทธิว 5.3 พระเยซู เริ่มต้นคำเทศนาของพระองค์ด้วยเรื่องการรู้สึกตัวว่า “บกพร่องฝ่ายวิญญาณ” หรือความยากจนในวิญญาณ (The poor in spirit) จะเป็นสุข หรือได้รับพระพร (Bless)     เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

จากพระวจนะของพระเจ้า พระเยซูได้บอกวิธีกินยาต้านความบาป 3 ประการ ดังนี้





1. รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ

- ยอมรับว่าตนเองบกพร่อง ผิดบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์

- การยอมรับว่าตนเองบกพร่อง ไม่ใช่เรื่องน่าอาย อ่อนแอ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย และต้องการเห็นท่าทีแบบนี้ขอเรา “จิตใจที่สำนึกผิด”

2. รับว่าตนเองบกพร่อง (เพื่อที่จะเข้าสู่กระบวนการรักษา)

- เชื่อในพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด

- ยอมรับตนเองเพื่อเข้ารับการรักษาจากพระเยซูคริสต์

- อฟ.2:8-9 เรารอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ไช่ด้วยการกระทำของตนเอง

3. เริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูคริสต์

- ยอมเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตใหม่ เดินในวิถีชีวิตใหม่บนความสัมพันธ์และการติดตามพระเยซูคริสต์

- 2 คร.5:17-18 เรากำลังถูกสร้างใหม่ในพระเยซูคริสต์

- ยน.15.1-8 เราดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์

สรุป คนที่ได้รับการรักษาโรคบาปจากพระเยซูคริสต์ก็ไม่ต้องพบกับความตาย “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้า คือ ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์” (รม.6.23)

คนที่ยอมรับว่าตนเองบกพร่อง แล้วรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาจะได้รับพระพร ได้รับแผ่นดินสวรรค์ ได้ไปสวรรค์ อยู่สวรรค์กับพระเจ้า ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

ถ้าเราอยากได้รับพระพรจากพระเจ้า เราต้อง ยอมรับว่าเราบกพร่องฝ่ายวิญญาณ เข้ามารับการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และเริ่มต้นชีวิตใหม่    ดำเนินชีวิตบนความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์วันต่อวัน

อธิษฐาน...

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การนมัสการ กับความสัมพันธ์ผู้อื่น

การนมัสการ กับความสัมพันธ์ผู้อื่น

มัทธิว 5.23-24 อิสยาห์ 1.11-20

คำนำ คำเทศนาเรื่องการนมัสการ 4 ครั้ง ที่ผ่านมานั้น จะเน้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ในวันนี้ จะสรุปเรื่องการนมัสการของเรา ด้วยเรื่องความสัมพันธ์กับมนุษย์

การนมัสการไม่ใช่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเท่านั้น แต่การนมัสการยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรากับพี่น้องของเรา กับ ผู้อื่น ด้วย

ทำไมการนมัสการพระเจ้าของเราจึงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ?

1. เพราะเราเป็นในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราเป็น ชุมชนแห่งความสัมพันธ์ ชุมชนแห่งความรัก และชุมชนแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

การเป็นคริสเตียน ไม่ใช่เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่เป็นเรื่องความเป็นชุมชน เป็นชุมชนของผู้เชื่อวางใจในพระเจ้า ติดตาม เลียนแบบวิถีชีวิตของพระเยซูคริสต์ หรือที่เรียกว่า “สาวกของพระเยซูคริสต์”

เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์กับพี่น้อง ความสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงเป็นเรื่องที่พระเจ้าให้ความสำคัญ พระเยซูให้ความสำคัญ พระคัมภีร์ให้ความสำคัญ

2. เพราะการนมัสการ เป็นการยกย่อง สรรเสริญ ยำเกรงและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยกให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง ในชีวิตของเรา ยกให้น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา ไม่ได้ทำตามใจ ตามความตั้งใจของตนเอง แต่เรา(คนที่นมัสการพระเจ้า) ยอมทำตามน้ำพระทัยและพระประสงค์(ความตั้งใจ)ของพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์และมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าพอพระทัยและมีพระประสงค์ให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อพี่น้องและเพื่อนบ้านของเรา นอกจากที่มีพระประสงค์ให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์แล้วนั้น(รักพระเจ้าสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง) เราก็ต้องทำตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า





การนมัสการของเรา จะเป็นการนมัสการที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้อย่างไร ? โดยการ...

1. คืนดี

หมอประเวศ วะสี ราษฎร์อาวุโส ได้กล่าวถึงสังคมไทย(สังคมโลกด้วย)ในปัจจุบัน ว่า “เป็นสังคมแตก” คือ แยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ เป็นส่วนๆ ไม่ประสานติดกัน ซึ่งนำสังคมที่แตกนี้ไปสู่หายนะ นำไปสู่ความไม่เจริญ

เพราะฉะนั้น พระเยซู จึงตรัสว่า “ ...ให้ไปคืนดีกับพี่น้องก่อน นำเครื่องบูชามาถวาย(มา(มานมัสการ) พระเยซูให้ความสำคัญ กับความสัมพันธ์ของคน มาก่อน การถวายเครื่องบูชา เพราะถ้าไม่เช่นนั้น การถวายเครื่องบูชาที่ไม่มีความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มันก็เป็นเพียงแค่การทำตามพิธี ทำเป็นพิธี ไม่ได้เป็นชีวิตจิตวิญญาณ และความจริง ซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า มันทำให้ พระเจ้า เอือม... พระเจ้าไม่ ปิติยินดี... พระเจ้าเกลียด..(เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังแด่พระเจ้า)

การนมัสการแบบนี้ทำให้เป็นภาระที่พระเจ้าแบกเหน็ดเหนื่อย (ตรงข้ามกับ อิสยาห์ 40.29

“ ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างสุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย...”)

พระเยซูต้องการให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องก่อนเพื่อการนมัสการของเราจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

2. ทำดี

ทำตัวเองให้ดี

-ชำระตัว /ทำตัวให้สะอาด

-เลิกทำชั่ว /ฝึกทำดี

ทำในสิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น

-มีความยุติธรรม

-บรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ

-ป้องกันให้ลูกกำพร้า

-ต่อสู้เพื่อหญิงม่าย

ถ้านมัสการอย่างนี้ คือ อย่างมีสัมพันธ์กับผู้อื่น จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ?

พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลง ชีวิต จากหลังมือ เป็นหน้ามือ เปลี่ยนจากชั่วไปดี (ทำให้เราเป็น “คนดี”)

พระเจ้าเจ้าจะอวยพร ให้ชีวิตเกิดผลดี (ทำให้เรา”เกิดผลดี”)



อธิษฐาน...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ณ โมริยาห์ การนมัสการที่เชื่อฟัง

ณ โมริยาห์ การนมัสการที่เชื่อฟัง

ปฐมกาล 22.1-19

ทำไมตั้งชื่อนี้

1. เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าการนมัสการพระเจ้า เริ่มต้นที่การเชื่อฟังและจบลงที่การเชื่อฟัง คือ ออกไปสู่การรับใช้ ไม่ใช่จบแล้วก็ตัวใครตัวมัน บ้านใครบ้านมัน อาทิตย์หน้าค่อยมาว่ากันใหม่ อาทิตย์นี้ได้ทำหน้าที่คริสเตียนแล้ว ตลอดอาทิตย์ผม(ฉัน) จะทำอะไรก็เป็นเรื่อง ผม(ฉัน)แล้ว ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น การนมัสการเริ่มต้นที่การเชื่อฟัง ออกไปสู่การดำเนินชีวิตและการรับใช้ด้วยการเชื่อฟัง ชีวิตเราก็จะได้รับพระพรของพระเจ้ามากมาย

2. เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าที่ โมริยาห์ (พระวิหาร โบสถ์ คริสตจักร) เป็นศูนย์พัฒนาความเชื่อและการเชื่อฟัง ณ โมริยาห์ พระเจ้าได้ทรง ”ลองใจ” (พัฒนา)อับราฮัม ในเรื่องการเชื่อฟัง พระเจ้าได้พัฒนาความเชื่อของอับราฮัม ไปสู่การเชื่อฟัง อย่างหมดใจ หมดทั้งชีวิต

วันนี้ที่พระวิหารแห่งนี้ พระเจ้าจะพัฒนาชีวิตแห่งการนมัสการที่เชื่อฟังของเรา อาเมน !

จากพระวจนะของพระเจ้า ปฐมกาล 22.19-25 ....

มีเรื่องอะไรบ้างที่เราต้องเชื่อฟังเมื่อเรานมัสการพระเจ้า

1. เรื่องการไปนมัสการพระเจ้าตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง

เมื่อพระเจ้าสั่งให้อับราฮัมไปนมัสการ (ถวายเครื่องเผาบูชา) ด้วยการถวายอิสอัคบุตรชายคนเดียวให้เป็นเครื่องเผาบูชา ที่แคว้นโมริยาห์ บนภูเขาลูกหนึ่งนั้น อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เตรียมตัว ไปนมัสการตามคำสั่งของพระเจ้าทันที ไม่รีรอ ไม่รอช้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต่อรอง แต่ลงมือปฏิบัติตามทันที

ในพระคัมภีร์ ได้มีคำสั่ง คำเตือน มากมาย ให้เรานมัสการพระเจ้า เราได้ตอบสนองต่อคำสั่งของพระเจ้าในเรื่องการนมัสการพระเจ้าด้วยท่าทีแบบไหนบ้าง ?

มีบางคนบอกว่า มานมัสการแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย หรือ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองเลย ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มาไม่ถึงการนมัสการ มาโบสถ์แต่ไม่ถึงการนมัสการพระเจ้า ไม่ได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้า ไม่ได้รับใช้พระเจ้าเมื่ออกจากพระวิหารไป

ท่าทีการนมัสการเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าถึงพระเจ้า หรือ ไม่ได้อะไรเลยจากการนมัสการพระเจ้าของเรา

ฮีบรู 10.19-25 19เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดย พระโลหิตของพระเยซู 20ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทางพระกายของพระองค์ 21และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว 22ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์ 23ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ 24และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี 25อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ท่าทีสำคัญในการเตรียมพร้อมสำหรับการไปนมัสการพระเจ้าที่เชื่อฟัง

1. มีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์

2. เข้าไปใกล้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3. ไว้ใจเต็มที่

4. มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว

5. มีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์

6. ปลุกใจซึ่งกันและกัน

7. อย่าขาดการประชุม

8. พูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น



2. เรื่องเครื่องบูชาที่ถวายแด่พระเจ้าด้วยการเชื่อฟัง

พระเจ้าสั่งให้อับราฮัม ถวายอิสอัค(บุตรชายคนเดียว)แด่พระเจ้า “อิสอัค” คือทั้งหมดของชีวิต อับราฮัม มันคือการอุทิศถวายทั้งชีวิต

โรม 12.1-2 1พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัย  พระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่เพื่อท่านจะได้ทราบ    น้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

เครื่องบูชาที่พระเจ้าต้องการให้ถวาย

“ถวายตัว” ถวายหมดทั้งชีวิตแด่พระเจ้า ทั้งภายในจิตวิญญาณ และการแสดงออกภายนอกในการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า

บางคน มาโบสถ์แต่ตัว แต่ใจไม่มา (เหมือนคุณยายคนนั้น..) บางคนมาแต่วิญญาณ มาแต่ใจ ตัวไม่มา (ใจอยู่ที่โบสถ์ตลอดเลยอาจารย์ แต่ไม่ว่าง มีธุระ)

สรุป การนมัสการที่เชื่อฟัง พระเจ้าจะอวยพระพร พระเจ้าจะจัดหาจัดเตรียมทุกสิ่งไว้สำหรับคนที่มานมัสการด้วยใจที่เชื่อฟัง (เยโฮวาห์ยิเรห์) ชีวิตของเราจะรับพระพรและเป็นพระพรอย่างมากมาย

อ่าน ปฐมกาล 22.15-19 พร้อมกัน

อธิษฐาน

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

ปฐมกาล 4.1-7 , โรม 12.1-2



สาเหตุสำคัญที่ทำให้การนมัสการไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

นมัสการตามใจฉัน อยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้มีเป้าหมายของการนมัสการอยู่ที่พระเจ้า เห็นคนอื่นนมัสการก็นมัสการบ้าง โดยที่ไม่ได้เข้าใจ เข้าถึงการนมัสการอย่างแท้จริง ทำตามพิธีการให้ผ่านๆ ไป ทำให้จบๆไป

อุปสรรคสำคัญในการนมัสการที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย คือ ท่าทีของการนมัสการ “ถ้าเจ้าทำดี เราก็พอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ”

“ทำดี” คือ ทำถูกต้อง ทำแบบเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด คริสเตียนเรารับความรักและพระคุณของพระเจ้า อย่างมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควรดำเนินชีวิตด้วยท่าทีที่เหมือนผู้เขียนสดุดี 116:12 ที่กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระเจ้าได้ เนื่องจากบรรดาพระราชกิจอันมีพระคุณต่อข้าพเจ้า” เราน่าจะดำเนินชีวิตด้วยท่าทีนี้ คือ ท่าทีที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้า เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อชีวิตของเรามากเหลือเกิน



จริงๆแล้ว เราคงไม่มีอะไรเอามาตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ เพราะว่าทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งสารพัดทุกสิ่งในโลกนี้ คงมีสิ่งเดียวที่จะตอบแทนพระคุณของพระเจ้าได้ คือ การนมัสการ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้วิงวอนเราในพระคัมภีร์ โรม 12 ในข้อที่ 1 ได้บอกว่า “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า...” เราควรตอบแทนพระคุณของพระเจ้าโดยการถวายสิ่งที่เรามีอยู่แด่พระองค์ ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าที่พระองค์ทรงพอพระทัย



เราจะนมัสการอย่างไรจึงเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า



เปาโลบอกว่า มีสามสิ่งที่เราควรถวายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย



1. ถวายตัวของเราแด่พระเจ้า “... ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย”

ความหมายของคำว่า “ตัว” นัยแรกคือ ร่างกาย เราควรถวายร่างกายของเราแด่พระเจ้า เมื่อก่อนที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์ เรามักจะใช้ร่างกายของเราให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม และเป็นทาสของบาป แต่เมื่อเรารับเชื่อพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาและสถิตอยู่ในเรา ร่างกายของเราจึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง”(1โครินธ์ 6.19) “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าเอาอวัยวะของพระคริสต์มาเป็นอวัยวะของหญิงแพศยาได้หรือ”(1โครินธ์ 6.15) ดังนั้น เราควรทำให้ร่างกายของเรา อวัยวะของเราถูกใช้เป็นเครื่องใช้ในการกระทำความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ความหมายอีกของคำว่า “ตัว” คือทุกส่วนในชีวิตของเรา คือทั้งความคิด คำพูด การกระทำ ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชีวิตในคริสตจักร และชีวิตในสังคมทั้งหมด เปาโลให้เราถวายทุกอย่างในชีวิตของเราแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ คนอิสราเอลในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ฆ่าสัตว์ถวายเครื่องบูชาที่ตายแด่พระเจ้า แต่เราต้องถวายเครื่องบูชาที่มีชีวิตแด่พระเจ้า เครื่องบูชาที่มีชีวิต หมายถึงการนมัสการโดยการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของเราที่เราน่าจะถวาย นี่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

คำว่าบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์มีความหมายมากกว่า สะอาด คือแยกออกเพื่อพระเจ้า หมายความว่า พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป เพื่อพระองค์ เพื่อให้เราถวายชีวิตทั้งหมดแด่พระองค์

อย่าลืมว่า การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นการนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย การนมัสการแท้ได้เริ่มเมื่อศิษยาภิบาลได้ขออวยพรแล้ว ลุกขึ้นออกจากห้องนมัสการนี้ ดังนั้นเราควรดำเนินชีวิตทุกวันๆ ให้เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยการคิดว่า การดำเนินชีวิตของเราเองเป็นความต่อเนื่องของการนมัสการแด่พระองค์ เราสามารถที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้ ไม่ว่าเรากินอะไร ดื่มอะไร หรือทำอะไรก็ตาม



2. ถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่...”(ข้อ 2)

เพื่อจะถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เราจำเป็นต้องถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าก่อน เพราะว่า ตัวของเรามักจะทำตามจิตใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ

ผู้เขียนสุภาษิตบอกว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางของเรา” (23:26) พระเจ้าปรารถนารับจิตใจของเรา เมื่อมีคนมาถามพระเยซูว่า ข้อไหนในธรรมบัญญัติสำคัญที่สุด พระองค์ทรงตอบว่า“จงรักพระองค์...ด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า...”(มธ.22:37)

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำอย่างไร เราจึงถวายจิตใจของเราแด่พระเจ้าได้ เปาโลบอกว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ...” คนในยุคนี้มักจะแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่ในโลกนี้เท่านั้น สิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งที่จะเน่าไป ชั่วคราว และไม่แน่นอน แต่คนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจะดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน แสวงหาสิ่งถาวร คิดถึงแผ่นดินของพระเจ้า

3. ถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า “... เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”

เมื่อเราถวายตัวของเรา และจิตใจของเราแด่พระเจ้าแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ น้ำพระทัยของพระเจ้า ว่าอะไร ดี พอพระทัย และดียอดเยี่ยม ความตั้งใจหรือเจตนารมณ์ของมนุษย์เรานั้น ไม่สมบูรณ์ บางครั้งดี บางครั้งชั่ว และไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ดังนั้น เราควรถวายความตั้งใจของเราแด่พระเจ้าและให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ มีผู้หนึ่งที่ได้อธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ก่อนที่พระองค์ทรงถูกอายัดและถูกจับ พระองค์ทรงเสด็จออกไปยังสวนเกทเสมนีตามเคย และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” (ลูกา 22:42)

การถวายความตั้งใจ (เจตนารมณ์) ของเราแด่พระเจ้านั้นหมายถึงการที่เรายอมรับน้ำพระทัยพระเจ้าแทนการทำตามใจปรารถนาของตนเอง ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่กลัว หรือไม่รอช้าที่จะยกเลิกเจตนารมณ์ของเราเอง เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า บางครั้ง ดูเหมือนว่า ความตั้งใจของเราดีแล้ว แต่น้ำพระทัยของ พระเจ้าดียอดเยี่ยมสำหรับเราเสมอ

เพราะฉะนั้น เราควรมอบเจตนารมณ์ของเราแด่พระเจ้า และปรารถนาให้ทุกสิ่งในชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราควรลงมือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การที่เราถวายตัวของเรา จิตใจของเรา และความตั้งใจของเราแด่พระเจ้า เป็นการนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย



วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตั้งความคาดหวังของท่านในการนมัสการพระเจ้า

ตั้งความคาดหวังของท่านในการนมัสการพระเจ้า


อิสยาห์ 6.1-8

ทำไมเราต้องตั้งความคาดหวังในการนมัสการพระเจ้า ?

1. การนมัสการพระเจ้าเป็นเหมือนหัวใจของชีวิตของคริสเตียนหรือคริสตจักร พระเจ้าเลือกและเรียกเราทั้งหลายมาเพื่อให้นมัสการพระเจ้า พระองค์สร้างเราเพื่อให้เรานมัสการพระองค์ และพระเจ้าก็ทรงใช้เราให้ออกไปประกาศนำคนเข้ามาเพื่อนมัสการพระองค์ ฉะนั้น การนมัสการพระเจ้าจึงเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตคริสเตียนทุกคน

2. การนมัสการเป็นพระประสงค์หลักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของประชากรของพระองค์ ในพระบัญญัติ 10 ประการ ได้บอกถึงการที่พระเจ้าพอพระทัยสำหรับคนที่นมัสการพระองค์ และพระองค์ทรงอวยพระพรคนที่นมัสการพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงไม่พอพระทัยสำหรับคนที่ไม่ได้นมัสการพระองค์แต่กลับไปนมัสการสิ่งอื่นแทนการนมัสการพระองค์

3. การมานมัสการพระเจ้าของแต่ละคนจึงเป็นเรื่องสำคัญและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ถึงแม้ว่าคนที่มาโบสถ์หรือมานมัสการพระเจ้าอาจมีความคาดหวังหรือเป้าหมายแตกต่างกันไป เช่น มาเพื่อทำหน้าที่ของการเป็นคริสเตียนที่ดีที่ควรทำ(ก็ควรทำ) มาเพื่อพบปะสามัคคีธรรมกับเพื่อน ญาติพี่น้อง(ก็ควรทำ) มาเพื่อฟังเทศน์ ฟังพระวจนะ(ก็ควรทำ) มาเพื่อได้รับคำหนุนใจ ได้รับกำลังใจ การชูใจ (ก็ควรทำ)มาเพื่อเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า(ก็ควรทำ) เป้าหมายเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรคาดหวังจะได้รับหรืออยากให้เกิดขึ้นเมื่อเรามานมัสการพระเจ้า ด้วยเช่นกัน แต่เราต้องมีความคาดหวังสิ่งสำคัญมากกว่านั้นในการนมัสการพระเจ้า



เราตั้งความคาดหวังในการนมัสการพระเจ้าอย่างไรบ้าง ?

จากพระธรรมอิสยาห์ 6.1-8 ให้เราตั้งคาดหวังสำคัญ 3 ประการ ที่ควรเกิดขึ้นในการนมัสการพระเจ้าของเรา ทั้งหลาย เมื่อเรามาโบสถ์ มานมัสการพระเจ้า ความคาดหวัง 3 ประการนั้นคือ....

1. เราจะได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

อิสยาห์ได้พบความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการนมัสการพระเจ้า เสราฟิม (ทูตสวรรค์) ในพระวิหาร ที่ใช้สองปีกปิดบังหน้า เป็นภาพการแสดงความเคารพ ยำเกรง นอบน้อมต่อพระเจ้า เพราะรู้ว่าพระเจ้านั้น   ยิ่งใหญ่ น่ายำเกรง จนไม่กล้าแม้แต่จะมองพระพักตร์พระองค์ จึงเอาปีกปิดบังหน้าไว้

ถ้าเราจะนมัสการพระเจ้าให้สมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราจะต้องนมัสการพระเจ้าด้วยท่าที ด้วยใจที่ยำเกรง ยกย่อง เทิดทูน ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งชีวิตจิตใจของเรา ทูตสวรรค์นั้นร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกเต็มด้วยพระสิริของพระองค์” เป็นเสียงแห่งการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า การยกย่องสรรเสริญเป็นหัวใจสำคัญในการนมัสการพระเจ้า

ดังนั้น เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราต้องกระทำทุกสิ่งด้วยท่าทีการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เมื่อร้องเพลงก็ร้องออกมาจากใจถวายแด่พระเจ้า อธิษฐานก็อธิษฐานด้วยใจที่สรรเสริญ ขอบพระคุณ พระเจ้า ถวายทรัพย์ก็ถวายด้วยใจที่สรรเสริญ ยกย่องเทิดทูนและขอบพระคุณพระเจ้า  จงทำ   ทุกสิ่งด้วยท่าทีแห่งการยกย่องสรรเสริญ พระเจ้า

2 เราจะได้พ้นจากความผิดบาป

เมื่ออิสยาห์ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ได้ยินเสียงที่ทูตสวรรค์ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ทำให้ อิสยาห์ต้องสารภาพบาปของตัวเองออกมา ถ้าเราสังเกตคำสารภาพบาปของอิสยาห์เราจะพบว่าเป็นคำสารภาพที่เต็มไปด้วยความถ่อมใจจริงๆ “ วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาดและข้าพเจ้าอยู่ในหมู่คนที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์คือพระเจ้าจอมโยธา” คำสารภาพนี้น่าจะเป็นคำสารภาพของคนที่จิตวิญญาณตกต่ำ หรือคนที่หลงหายไปจากพระเจ้า หรือคนที่ทำผิดบาปร้ายแรง มากกว่าที่จะเป็นคำสารภาพของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่อย่างอิสยาห์ แต่อิสยาห์ได้สารภาพต่อพระเจ้าด้วยใจถ่อม ยอมจำนน

สาเหตุที่อิสยาห์ได้สารภาพด้วยใจถ่อมอย่างนี้ เพราะว่าท่านได้เห็นพระเจ้าได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ  พระเจ้า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับ ณ พระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้นและชายฉลองของพระองค์เต็มพระวิหาร” “...เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์คือพระเจ้าจอมโยธา”

อิสยาห์ได้เห็นความบริสุทธิ์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทำให้ท่านได้มองเห็นตัวเองอย่างชัดเจน ถ้าเราพบพระเจ้าในการนมัสการ เราก็จะมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนและอย่างแท้จริง หลายครั้งที่เรานมัสการพระเจ้าแล้วไม่ได้มองเห็นพระเจ้า ไม่ได้พบพระเจ้า ทำให้เรามองเห็นแต่ตัวเอง ทำให้เราขาดความถ่อมใจ ขาดความยำเกรง พระเจ้า พระเจ้าจึงอวยพระพรชีวิตของเราไม่ได้ ถ้าเรามองเห็นพระเจ้าเหมือนที่อิสยาห์ได้มองเห็นพระเจ้า พระพรของพระเจ้าก็จะหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเราและทำให้เรามองเห็นอะไรๆอีกหลายอย่างในชีวิตของเราชัดเจนขึ้นและเราก็จะถ่อมตัวลงแบบอิสยาห์และพูดว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” และเมื่อมีการถ่อมตัวถ่อมใจ สารภาพกับพระเจ้าการชำระให้บริสุทธิ์ก็จะเกิดขึ้น ทูตสวรรค์ได้นำเอาถ่านเพลิงจากแท่นบูชา มาถูกต้องปากของอิสยาห์ “ ดูเถิด สิ่งนี้ได้ถูกต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว กรรมชั่วของเจ้าก็ถูกยกเสีย และเจ้าก็จะรับการยกมลทินบาป” สิ่งนี้จะต้องเป็นประสบการณ์ของเราเมื่อเราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยความถ่อมใจทุกวันอาทิตย์ ทุกการนมัสการ พระเจ้าก็จะทรงชำระเรา สร้างจิตใจภายในให้กับเรา เราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณ เป็นการชำระเอาสารพิษฝ่ายจิตวิญญาณของเรา(ความบาป) ทำให้จิตวิญญาณ ไม่เจ็บป่วยแต่มีสุขภาพจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง แต่ถ้าเราเข้ามานมัสการพระเจ้าแล้วไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้า พอกลับไป เราก็เหมือนไม่ได้รับอะไรเลย เพราะไม่ได้รับการชำระล้างสารพิษฝ่ายวิญญาณ (อาจทุกข์มากกว่าเดิมเพราะรับสารพิษเข้าไปอีก)

ดังนั้น ทุกอาทิตย์ที่เรามานมัสการ หรือทุกการนมัสการพระเจ้า ให้เราคาดหวังการชำระให้บริสุทธิ์จาก พระเจ้า ด้วยการสารภาพด้วยใจถ่อมและยอมจำนนต่อพระเจ้า บาปเหมือนกาฝาก เหมือนมะเร็งร้าย ฝ่ายวิญญาณที่เกาะกินทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เราต้องเอาออก อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจอันตรายถึงชีวิต

3 เราจะได้พร้อมในการรับใช้พระเจ้า

เมื่ออิสยาห์นมัสการพระเจ้า อิสยาห์ได้ยินเสียงของพระเจ้าว่า “เราจะใช้ผู้ใดไปและผู้ใดจะไปแทนเรา” เมื่อเรามานมัสการพระเจ้า พระเจ้าถามเราทุกอาทิตย์ว่า“เราจะใช้ผู้ใดไปและผู้ใดจะไปแทนเรา” พี่น้องทั้งหลายพระเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเราให้การนำคนเข้ามาเพื่อนมัสการพระองค์ ให้คนกลับมาหาพระเจ้า

เมื่ออิสยาห์ได้ยินเสียงการทรงเรียกจากพระเจ้าท่านได้ตอบสนองทันทีว่า “ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด ในแต่ละอาทิตย์พระเจ้าทรงเรียกเราให้รับใช้พระองค์ เราจะตอบสนองพระองค์ด้วยการติดปีกคู่ที่ 3 ใช้บิน เป็นปีกแห่งการรับใช้ ไม่ใช่ปีกบินหนี แต่เป็นปีกแห่งการปรนนิบัติ   รับใช้พระเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าต้องการใช้เราให้ไปบอกกับคนทั้งหลายให้หันกลับมานมัสการพระเจ้า ไปบอกกับคนที่หลงหาย เหมือนคนอิสราเอลที่หลงไปจากพระเจ้าให้หันกลับมานมัสการพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะทรงอวยพรชีวิตของทุกๆคนได้ ให้เราทุกคนไปบอกคนในบ้านเรา ครอบครัวเรา ที่ทำงาน ชุมชนของเรา ฯลฯ ให้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน อาเมน

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการอย่างถูกต้อง

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการอย่างถูกต้อง


ยอห์น 4.20-24

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ เป็นการสนทนาระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเราฟังคำสนทนาระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียแล้วมีการพูดคุยกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องน้ำดื่ม        น้ำธำรงชีวิต เรื่องสามีที่ไม่ใช่สามี และเรื่องการนมัสการ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของชีวิต เราทุกคนเผชิญกับปัญหาเรื่องปากท้อง เป็นหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ในสังคม แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาฝ่ายจิตวิญญาณ ปัญหาความสัมพันธ์กับพระเจ้า ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง

พระเยซูกำลังนำหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ ให้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้ากลับมาสู่การนมัสการ     พระเจ้าอย่างถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้กับหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ ก่อนหน้านี้เธอพยามแก้ไขปัญหาหลายอย่างด้วยวิธีการของเธอ เช่น แก้ปัญหาความสัมพันธ์กับสังคม โดยการปลีกตัวออกจากสังคม(มาตักน้ำตอนกลางวัน) ปัญหาครอบครัว(เปลี่ยนสามีบ่อยๆ) ปัญหาเรื่องการนมัสการพระเจ้าที่ไม่จุใจ อิ่มใจ (นมัสการที่ไหนกันแน่จึงจะถูกต้อง)



การนมัสการที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ?



1. การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องนั้นเริ่มต้นที่ความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณของเรากับพระเจ้า

ในข้อ 23 ตอนกลางบอกว่า “เมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์” พระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

คำว่า “ด้วยจิตวิญญาณ” คงไม่ได้หมายถึงจิตวิญญาณของเรา แต่หมายถึง ด้วยพระวิญญาณ ในข้อ 24 กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ...” ดังนั้น เราต้องนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่ไม่ได้อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีพระเยซู มีแต่ความบาป พระเจ้าไม่รับการนมัสการพระเจ้าของคนบาป พระเจ้าทรงรับการนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงสมควรที่จะได้รับการนมัสการจากมนุษย์ทุกชาติ ทุกประเทศ ทุกภาษาและทุกเผ่าพันธุ์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างชีวิตของเรา ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเอง เพื่อเขาจะถวายสรรเสริญเรา” (อิสยาห์ 43.21)

เมื่อเราอ่านวิวรณ์ กล่าวไว้ว่า “คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่า พันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา ...ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อพระพักตร์พระเมษโปดก” และคนเหล่านี้ได้ร้องสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าพอพระทัยเมื่อมีคนมากมายมาร่วมใจนมัสการพระเจ้า เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงสร้าง คริสตจักรของพระองค์ไว้บนโลกนี้ตามสถานที่ต่างๆ และทรงบัญชาให้ออกไปประกาศและนำคนเข้ามาหาพระองค์ กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์ กลับมานมัสการพระเจ้า

ดังนั้น ให้เราหนุนใจคนที่ขาดการนมัสการ และนำคนอื่นที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน เพราะพระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้น นมัสการพระองค์



2. การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องนั้นเริ่มต้นที่การมีชีวิตที่สอดคล้องกับความจริง

พระเจ้าทรงแสวงหา และพอพระทัยผู้คนที่นมัสการพระเจ้า แต่พระคัมภีร์บอกว่าต้องนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง ในข้อ 23 บอกว่า “เมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์”

คำว่า “ด้วยความจริง” หมายถึง นมัสการพระเจ้าในความจริง ความจริง คืออะไร ความจริง คือ พระเยซู พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน.14.6) ดังนั้น นมัสการด้วยความจริง คือ นมัสการโดยพระเยซู เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เราก็เข้ามาอยู่ในความจริง อย่านมัสการพระเจ้าตามความคิดของเราเอง หรือตามใจชอบของเรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ให้เรานมัสการพระเจ้าตามวิธีของพระเจ้า คือนมัสการในพระวิญญาณบริสุทธิ์และโดยพระเยซูคริสต์

เราสามารถแบ่งการนมัสการเป็นสองส่วนได้ คือการนมัสการในความหมายกว้างและในความหมายแคบ การนมัสการในความหมายกว้างนั้น หมายความว่า การดำเนินชีวิตคริสเตียน(ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์)ทุกอย่างเป็นการนมัสการพระเจ้า เปาโลกล่าวไว้ว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” ( 1คร.10.31) การดำเนินชีวิตด้วยการเห็นแก่ตัวเอง หรือ การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่างเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ให้เราถือว่า ทุกอย่างเป็นพระคุณของพระเจ้า และถวายพระสิริ การโมทนาขอบพระคุณแด่พระเจ้า นั่นแหละเป็นชีวิตที่แท้จริงของผู้ที่นมัสการพระเจ้า ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ตาม

การนมัสการพระเจ้าในความหมายแคบ คือ การนมัสการที่เรารวมตัวกันและถวายแด่พระเจ้า เช่น การนมัสการในวันอาทิตย์ตอนเช้า ภาคบ่าย คืนวันพุธ หรือ การนมัสการตามบ้าน เป็นต้น

พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องตามวิธีการของพระเจ้า ไม่ใช่นมัสการพระองค์ตามวิธีของตน หรือความคิด ความรู้สึกของตน ให้เรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้ ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และโดยพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงแสวงหาคนเช่นนั้น





วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

จงลุกขึ้นไปกันเถิด

จงลุกขึ้นไปกันเถิด


มัทธิว 26.-36-46

คำนำ วันอาทิตย์นี้สภาคริสตจักรฯ กำหนดไว้ให้เป็นวันระลึกสภาคริสตจักรฯ ครบรอบ 77 ปี (1934-2011)

หัวข้อในวันนี้คือ “จงลุกขึ้นไปกันเถิด”

อะไรคือความหมายของการทรงเรียกของพระเยซู ที่ใช้คำว่า “จงลุกขึ้นไปกันเถิด”

1. คือการต้องไปให้ถึงเป้าหมาย ณ เวลานั้น เป้าหมายของพระเยซู คือ การเดินทางไปสู่กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ด้วยชีวิต ส่วนเป้าหมายของเรา คือ การตอบสนองต่อพระมหาบัญชาของพระเยซู และทำให้สำเร็จ

2. วันนี้เราทุกคนตระหนักว่า พระองค์ตรัสกับเราวันนี้ด้วยคำเดียวกัน คือ “จงลุกขึ้นไปกันเถิด” เรามีพันธกิจที่ต้องทำ เราต้องประกาศพระกิตติคุณ เราต้องดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะของพระเจ้า เพราะฉะนั้น การลุกขึ้นในที่นี้ หมายถึง ความรับผิดชอบ เราจะอยู่เฉยๆ ปิดหูปิดตา อยู่สบายๆส่วนตัวไม่ได้แล้ว

ทำไมเราจึงต้องคิดว่า พระเยซู ทรงเรียกให้เราลุกขึ้นเหมือนทรงเรียกสาวก(ในสมัยนั้น)

1. เพราะมีสถานการณ์ คล้ายคลึงกัน คือ ขณะพระเยซูอธิษฐานด้วยความทุกข์แสนสาหัส เพราะพระองค์ต้องรับจอกแห่งน้ำพระทัยของพระบิดาดื่ม การตายบนไม้กางเขน พันธกิจแห่งการไถ่บาปมนุษย์ แต่...สาวกของพระองค์กำลังหลับ ศัตรูกำลังรุก แต่สาวกกำลังหลับ พระเจ้าทรงรัก ห่วงใยสังคม คนไทยทุกคน และทรงมอบหมายพันธกิจนี้ให้เรารับผิดชอบ แต่เราก็ไม่ต่างไปจากสาวกในสวนเกทเสมานี คือ หลับอยู่ ลืมตาไม่ขึ้น (ปิดหูปิดตา) พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “จิตวิญญาณพร้อมแล้ว แต่กายยังอ่อนกำลัง (ไม่มีกำลังแม้แต่จะลืมตา หรือลุกขึ้น)

2. เพราะพระเยซูทรงต้องการทีมงานที่พร้อมและตื่นอยู่

พระเยซูเรียกให้สาวกลุกขึ้น เพราะต้องการให้ทุกคนตั้งอยู่ในความพร้อม ไม่ประมาท “ เพราะเวลานี้เป็นกาลที่ชั่ว” เราจะนอนหลับต่อไปไม่ได้แล้ว พระเจ้าต้องการให้เราตระหนักในความรับผิดชอบต่อพันธกิจที่มอบหมายไว้ในเรา

เราจะลุกขึ้นไปสู่การทำพันธกิจมอบหมายให้สำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไร

1. เราต้องลุกขึ้น ถือว่าพันธกิจของพระเจ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน เราต้องแสดงความรับผิดชอบก่อนที่มารซาตานจะยึดพื้นไปเสียก่อน เราต้องไม่ละเลย หลับหูหลับตา ลืมตาไม่ขึ้น

2. เราต้องลุกขึ้น ผนึกกำลัง ไม่ปล่อยให้พระเยซู กระทำเพียงลำพัง หรือ ปล่อยให้ผู้รับใช้พระเจ้า ( ศบ. ผป. มน.) ทำเพียงลำพัง แต่ให้เรา ผนึกพลังในการรับใช้ การรับใช้ของเราก็จะมีพลังมากขึ้น

3. เราต้องลุกขึ้น สำรวจว่า พระเจ้ามอบหมาย พันธกิจอะไรไว้กับเรา อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือ คิดว่าถ้าเราไม่ทำก็มีคนอื่นทำ ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับรู้ หรือรับผิดชอบ แต่เราต้องตั้งอยู่ในความพร้อมในการเป็นทีมงานของพระเยซู ในการทำพันธกิจของพระเจ้าให้สำเร็จและเกิดผล



อธิษฐาน……

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร

เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร


1เปโตร 2.9-17

ในมุมมองทางคริสต์ศาสนศาสตร์แล้ว ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร (ข้อ 9) เป็น ชนชาติอิสราเอลใหม่(อิสราเอลฝ่ายวิญญาณ)

จากพระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราพบบทบาทใหม่ ในฐานะใหม่ของเราในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อย่างน้อย 3 ประการ

1. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เรามีหน้าที่

อย่าเข้าใจผิดว่า การเป็นชนชาติ(คน)ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรของพระเจ้าแล้ว เราจะเป็นคนที่มี “สิทธิพิเศษ” หรือเป็น “อภิสิทธิชน” ตัวอย่าง ลัทธิคำสอนเท็จบางลัทธิ บอกว่า เราเป็นชนชาติพิเศษ เราไม่ต้องถูกเกณฑ์เป็นทหาร ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ เป็นต้น

แต่การเป็นชนชาติที่ทรงเลือกสรร หมายถึงการมีหน้าที่พิเศษ มีภารกิจพิเศษที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราทำ นั่นคือการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า (ข้อ 9 ข ..ประกาศพระบารมีของพระองค์) ไม่ใช่เป็นอภิสิทธิชนพิเศษเหนือคนอื่น ดีกว่าคนอื่น และเก็บครอบครองพระพรแห่งความรอดพ้นไว้เฉพาะตนเอง ไม่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดแก่ผู้อื่น ต่อไป ตามที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เป็นพิเศษที่ได้เลือกสรรเรามารู้จักพระเจ้าและเป็นชนชาติของพระองค์

2. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เราเป็นประชากรของแผ่นดิน

ถึงแม้ว่าเราเป็นชาติของพระเจ้า เราก็ยังต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ เราเป็นประชากรของสองอาณาจักร คือราชอาณาจักรของพระเจ้า (Kingdom of God) และราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

การที่เราอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า หมายถึงเราอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎหมายของพระเจ้า หรือ พระบัญญัติ พระวจนะของพระเจ้า อยู่ภายใต้น้ำพระราชหฤทัยของ พระเจ้า ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้า

ในเวลาเดียวกัน เราก็อยู่ในแผ่นดินไทย เป็นประชากรของประเทศไทย ที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้กฎหมายที่เป็นตัวบทอักษร และอยู่ภายใต้สำนึกของความเป็นคนไทยที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ไม่ต้องจารึกไว้เป็นตัวอักษรที่กระดาษ แต่จารึกไว้ในดวงใจของคนไทยทุกคน

เราจึงต้องพึงตระหนักอยู่เสมอ ว่าเราเป็นประชากรของราชอาณาจักรของพระเจ้า และเป็นประชากรของราชอาณาจักรไทย (เรามีหน้าที่ประกาศพระบารมีของพระเจ้า และของพระเจ้าแผ่นดินไทย)



3. ในฐานะที่เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เราเป็นพลเมืองที่ดี

พลเมือง หมายถึง พลังของเมือง (พละ + เมือง)

การเป็นพลเมืองที่ดี หมายถึงการเป็นคริสตชนที่ดี ดำเนินชีวิตตามคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า และหมายถึงการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ด้วย

ในฐานะการเป็นพลเมืองที่ดี มีหน้าที่ สร้างสรรค์สังคมที่ดี สร้างความสงบสุขเพื่อให้เกิดสันติสุขในเกิดขึ้น (ไม่ใช่สร้างความวุ่นวาย) สร้างประโยชน์สุข และสร้างความเจริญสุข

ในปลายข้อ 16 บอกว่า “....แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า” อาจารย์เปโตร ได้เตือนใจพวกเราว่า อย่าคิดว่าเราจะเป็นพลเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไปวันๆ แต่เราต้องเป็น “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” เป็น ”ข้าราชการ” ของพระเจ้า คือทำหน้าที่ๆ พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราทำอย่างดีที่สุด

สังคม ประเทศชาติยังมีสิ่งไม่ถูกต้องอีกมากมาย ความชั่วมีมากมาย เพราะว่าวันนี้มีคนดีที่อยู่เงียบๆ เป็นคนดีสำหรับตนเอง ไม่ใช่เพื่อสังคม ประเทศชาติ

สรุป วันนี้พระเจ้าเลือกให้เราเป็นบุตรของพระองค์ เราเป็นประชากร เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระเจ้าทรงเลือกเราทุกคน เพื่อต้องการใช้เราทุกคน พระเจ้าทรงสร้างเราอย่างมีคุณค่า มากว่ากว่าที่จะให้เราอยู่เฉยๆ เก็บดูในตู้โชว์ แต่พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นคนที่พระเจ้าจะใช้การได้

พี่น้องทั้งหลาย เรามีหน้าที่ มีพันธกิจและภารกิจ ในฐานะเราเป็นประชากรของพระเจ้าและของประเทศ เราเป็นพลังของแผ่นดินของพระเจ้าและเป็นพลังของแผ่นดินโลกนี้ ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งดีๆ ในเกิดขึ้นได้ (สุดท้ายนี้ อย่าลืมไป เลือกตั้ง นะครับ)

อธิษฐาน..

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คริสเตียนสุขภาพ(ฝ่ายวิญญาณ)ดี

คริสเตียนสุขภาพ(ฝ่ายวิญญาณ)ดี


(เป็นคริสเตียนอย่างไรจึงจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณดี)

กาลาเทีย 5.16-25

อาทิตย์ที่ผ่านมาได้พูดถึงการป่วยฝ่ายจิตวิญญาณ เนื่องจากโรคบาป เรื่อง“คนเจ็บต้องการหมอ” คือคนที่รู้สึกตัวว่าตนเองป่วย แล้วมาหาพระเจ้าด้วยท่าที ต้องการการรักษาจากพระเยซู และรับการรักษาด้วยพระเยซู ชีวิตจึงจะหายป่วยฝ่ายวิญญาณได้ ในวันนี้เราจะแบ่งปันกับท่านทั้งหลาย ถึงเรื่องการมีสุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่ดี มีชีวิตที่เข้มแข็งในความเชื่อ มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี

มีคนเขาบอกว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องออกกำลังกาย” วันนี้อยากบอกพี่น้องเช่นกันว่า “สุขภาพฝ่ายวิญญาณดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้า”

คริสเตียนจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดีได้อย่างไร ?

จากพระวจนะของพระเจ้า ได้บอกถึงวิธีที่เราจะมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี สอง ประการ คือ

ประการที่หนึ่ง ยอมดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า( ข้อ 16 ก)



1. โดยยอมให้พระวิญญาณทรงนำในการดำเนินชีวิต ( ข้อ 18)

การดำเนินชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่การดำเนินชีวิตตามแผนการชีวิตของตนเองเท่านั้น โดยที่ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของตน หรือ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องก็ต่อเมื่อตนเองต้องการ บางสิ่ง บางอย่างจากพระเจ้าเท่านั้น เยเรมีย์ 7.23-24 พระเจ้าตรัสกับชนชาติอิสราเอล ประชากรของพระองค์ว่า “ แต่เราบัญชาเจ้าทั้งหลายว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา และดำเนินในหนทางที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แต่เจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่เขาทั้งหลายดำเนินตามแผนการของเขาเองและในความดื้อกระด้างตามจิตใจชั่วของเขาทั้งหลายและเดินถอยหลัง มิได้เดินขึ้นหน้า”

พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะให้ประชากรของพระองค์มีชีวิตที่ประสบกับความเจริญก้าวหน้า อยู่เย็นเป็นสุข เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินถอยหลัง (ไม่ใช่สามวันดีสี่วันป่วย) สิ่งที่เขาจะต้องกระทำก็คือ เชื่อฟังเสียง ของพระเจ้า และเดินในหนทางที่พระเจ้าทรงบัญชา คือ ตามพระวจนะของพระเจ้า

เราต้องกล้าไว้ใจพระเจ้า กล้าที่จะเชื่อใจ และเชื่อฝีมือของพระเจ้า พระธรรมสุภาษิต 3.5-6 บอกว่า “ จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”



2. ยอมมีชีวิตอยู่ใน(โดย)พระวิญญาณ ( ข้อ 25)

คริสเตียนต้องมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตถูกปกคลุมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และดำเนินชีวิตใน พระวิญาณบริสุทธิ์นั้น เพื่อพระเจ้าจะสามารถทำงานในชีวิตของเราและทรงนำชีวิตของเราไปตามวิถีทางของพระองค์ได้ และชีวิตของเราก็จะประสบกับความสำเร็จตามแผนงานและพระประสงค์ของพระเจ้าได้

ในพระธรรมเอเฟซัส 5.18 บอกว่า “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายถึงอาการและผลที่เกิดขึ้นจากการถูกควบคุม โดยเหล้า กับ พระวิญญาณ การเมาเหล้าทำให้เสียคน(เสียสุขภาพ และเสียอีกหลายอย่าง) แต่การเมาพระวิญญาณจะมีชีวิตที่เจริญขึ้น และสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี

ประการที่สอง ไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง ( ข้อ 16 ข)

คำว่า “เนื้อหนัง” กับ “ร่างกาย” มีความหมายต่างกัน คำว่า เนื้อหนัง อธิบายความหมายได้จาก ข้อ 19-21 อฟ.5.3-5 คส.3.5-9 1 คร.3.3-4 เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ แต่คำว่า “ ร่างกาย” หมายถึง ร่างกายของเราที่เป็น พระวิหารของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ เป็นฝีพระหัตถ์แห่งการทรงสร้าง ซึ่งเราต้องดูแลรักษาให้ดี มีสุขภาพที่ดี



คริสเตียนที่ไม่สนองความต้องการของเนื้อหนังจะต้องทำอย่างไร ?



1. ต่อสู้เนื้อหนังโดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( ข้อ 17)

ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้เราสามารถต่อสู้กับความต้องการ ความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเราได้ โดยกำลังของเราเองเราเอาชนะได้ยาก หรือเอาชนะไม่ได้ แต่โดยการอาศัยฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราสามารถเอาชนะได้ คำว่า “ฤทธิ์เดช” มีความหมายมาจากคำศัพท์ที่มีความหมาย ระเบิด (ดูนามีส ไดนาไมค์) คำนี้จะใช้เฉพาะกำลัง ฤทธิ์เดช อำนาจของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีในมนุษย์ หรือสิ่งอื่น ใน อฟ.6.10-11 อาจารย์เปาโลได้ขอให้คริสเตียนเอเฟซัสมีกำลังและฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้

2. เชื่อฟังคำตักเตือนจากพระวจนะของพระเจ้า ( ข้อ 21)

พระธรรมยากอบ 1.22 -25 บอกว่า “ แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง.....”

เราต้องรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตามพระวจนะ ชีวิตของเราจึงจะมีชนะได้ เราต้องขะมักเขม้น เอาจริงเอาจังในการฟัง อ่าน ศึกษา ค้นคว้า ใคร่ครวญพระวจนะ ไม่ละเลย หลีกเลี่ยง จากพระวจนะของพระเจ้า ( โยชูวา 1.7-8) นำชีวิตเข้าสู่ พระวจนะของพระเจ้า แล้วชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จ และมีชัยชนะในการดำเนินชีวิต



สรุป เราทุกคนที่เชื่อพระเจ้า เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาประทับสถิตในชีวิตของเราแล้ว แต่พระเจ้าต้องการที่จะให้ชีวิตของเราถูกครอบครองและเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่เสมอ เพื่อพระองค์จะขับเคลื่อนชีวิตของเราด้วยพลังฤทธิ์เดชของพระองค์ไปสู่ชัยชนะ ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต มีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี

สุดท้ายนี้ จะให้ยา 5 อย่าง กลับไปกินให้หายป่วยและมีสุขภาพวิญญาณที่ดี 1)ติดสนิทกับพระวจนะ 2)ติดสนิทกับการสามัคคีธรรม 3)ติดสนิทกับการนมัสการ 4)ติดสนิทกับการอธิษฐาน 5)ติดสนิทกับการรับใช้พระเจ้า

ขอให้พระเจ้าเติมเต็มชีวิตของเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และขับเคลื่อนชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่พระพรของพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้สำหรับเราทุกคน เป็นคริสเตียนที่มีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดี อาเมน

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คนเจ็บต้องการหมอ

คนเจ็บต้องการหมอ


ลูกา 5.27-32

คำนำ -มีใครที่ไม่เคยเจ็บป่วยบ้าง ?

-มีคนป่วย อยู่ สองประเภทที่น่าเป็นห่วง คือ

1. คนที่คิดว่าตัวป่วยอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกโรค ป่วยทุกเรื่อง

2. คนที่คิดว่าตัวเองไม่ป่วย ทั้งที่ป่วยอยู่

พี่น้องเป็นคนป่วยประเภทใด ?

คนทั้งสองประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากหมออย่างเร่งด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจกำเริบและลุกลามจนรักษาไม่ได้

โรม 3 .23 23เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ชาวยิวมีความเชื่อว่าความบาปเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยต่างๆ ถ้าได้รับการยกบาป ก็จะได้รับการรักษาจากความเจ็บป่วย บางครั้งพระเยซูรักษาโรคด้วยการตรัสว่า “บุรุษเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” (ลูกา 5.20)

มนุษย์ทุกคนเป็นคนป่วย ทั้งป่วยกาย ป่วยใจ ป่วยจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความบาป จากอำนาจของมารซาตานที่ไม่ต้องการให้ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นฝีพระหัตถ์การทรงสร้างที่ดีที่สุดของพระเจ้านั้น มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ มารซาตานพยายามที่จะ ลัก ฆ่า และทำลาย ความสมบูรณ์ที่เป็น พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น โดยการล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ทำตามพระวจนะของพระเจ้า ต้องการทำตามใจปรารถนาของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นอาการป่วยฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ คนบาป ที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนในปัจจุบันนี้ แต่บางคนอาจไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองป่วย และไม่คิดว่าตนเองป่วย จึงไม่ยอมเข้ารับการรักษา บางคนได้รับการรักษาแล้วแต่ไม่ยอมหาย กลายเป็นคนป่วยเรื้อรัง คิดว่าตัวเองป่วยอยู่เสมอ ทั้งที่พระเจ้ารักษาให้หายแล้ว

จากพระวจนะของพระเจ้าพระเยซู ได้บอกถึงท่าทีของคนป่วยฝ่ายวิญญาณที่จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป อย่างน้อย 2 ท่าที คือ (เราควรมีท่าทีอย่างไรเพื่อให้ได้รับการรักษาให้หายจากการป่วยฝ่ายวิญญาณ ? )

1. มีความต้องการ การรักษาจากพระเยซู ( ต้องการหมอ)

ความต้องการการรักษา หรือความต้องการหมอ มาจากความรู้สึกยอมรับว่าตนเองป่วย มัทธิว 5.3 3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา การยอมรับว่าตนเองบกพร่อง ทำบาป อ่อนแอ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการแสดงความต้องการที่จะรับการรักษาให้หาย นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของตน ตรงกันข้ามกับการไม่ยอมรับ ปกปิด ซ่อนความเจ็บป่วยไว้ ก็ยิ่งทำให้อาการป่วยกำเริบขึ้นมากกว่าเดิม ปล่อยไว้จนสายเกินไปจนรักษาไม่ได้ ยิ่งอันตรายต่อชีวิตของเรา

2. เข้ารับการรักษาจากพระเยซู (เข้าสู่กระบวนการรักษา)

- รักษาตามวิธีการของพระเยซู “จงตามเรามา”

การรักษาคนป่วยด้านร่างกายในปัจจุบันนี้ อาจมีช่องทางการรักษาได้หลายช่องทาง จากแพทย์แผนไทย สมุนไพร แพทย์แผนปัจจุบัน หรือ ทางไสยศาสตร์ ก็ได้

แต่การรักษาโรคบาป อาการป่วยฝ่ายวิญญาณนั้น ต้องรับการรักษาด้วยวิธีการของพระเยซูเท่านั้น พระเยซูเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคบาป และรักษาให้หายขาดได้แน่นอน อาเมน หมออื่นๆ อาจช่วยลด บรรเทา แต่ไม่สามารถรักษาโรคบาปให้หายขาดได้ มีแต่ พระเยซูแพทย์ผู้ประเสริฐเท่านั้นที่รักษามนุษย์ทุกคนให้หายจากโรคบาปที่เป็นสามเหตุของอาการป่วยฝ่ายวิญญาณได้

- ลุกขึ้นจากสาเหตุที่ทำให้ป่วย (เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่เมื่อได้รับการรักษาแล้ว)

มีคนป่วยจำนวนมากที่ได้รักษาให้หายจากโรคแล้ว ยังกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เป็นสาเหตุของการป่วย “เลวี”(ภาษาฮีบรู) หรือ “มัทธิว”(ภาษากรีก แปลว่า คนของพระเจ้า) เขาเป็นคนเก็บภาษี ชาวยิวถือว่าเป็นคนบาป เขาได้รับการรักษาโรคบาปจากการทรงเรียกของพระเยซูแล้ว เลวีได้สละสิ่งสาระพัดและลุกขึ้นตามพระเยซูไป

“เลวี” ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนร่วมอาชีพเก็บภาษีและคนอื่นมาร่วมงาน เพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระเยซูและประกาศตนเองว่าได้รับการรักษารับ การเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่จากพระเยซูแล้ว (กรณีของสักเศียสก็เช่นเดียวกัน) เขาได้แสดงออกถึงการกลับใจใหม่อย่างชัดเจน

และเราได้ทราบแล้วว่า เลวี หรือ มัทธิว คนนี้เป็น หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซู ที่มีบทบาทสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐขยายแผ่นดินของพระเจ้าอย่างเกิดผล จากคนป่วยจากโรคบบาป กลายเป็นผู้ประกาศที่เกิดผล เขาเป็นคนเขียน พระธรรมมัทธิว เพื่อใช้ประกาศกับชาวยิว อย่างเกิดผลตลอด 15 ปีแห่งการรับใช้ก่อนสิ้นชีวิต (ซึ่งอาจเป็นที่ประเทศเอธิโอเปียที่ท่านเดินทางไปประกาศฯ โดยการถูกประหารชีวิตจากกษัตริย์ฮีร์กาตุส)

สรุป พี่น้องที่รักทั้งหลาย พระเยซูเสด็จมาเพื่อรักษาเราให้หายจากโรคแห่งความบาป เราทุกคนได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาปแล้ว พระเยซูต้องการให้เราลุกขึ้นจากวิถีชีวิตเดิม เพื่อให้เราเดินตามพระองค์ไปบนวิถีทางของพระองค์เพื่อชีวิตของ พระเราจะพบกับพระพรของพระเจ้าและเป็นพระพรสำหรับผู้อื่น เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำกับชีวิตของ “เลวี”(มัทธิว) พระเยซู ก็จะกระทำสิ่งนี้ในชีวิตของเราด้วย อาเมน

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นโยบายเพื่อชีวิต

นโยบายเพื่อชีวิต


ยอห์น 10.7-15

คำนำ ในช่วงนี้พรรคการเมืองแข่งขันกันเสนอนโยบายเพื่อดึงดูดใจประชาชนให้เลือกพรรค เลือก สส.ของตนเองให้มากที่สุดเพื่อเข้าไปใช้อำนาจบริหาร ด้วยการเป็นรัฐบาล ทุกพรรคต่างอ้างว่าทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อให้ประชาชนได้กินดี อยู่ดี มีชีวิตที่ดีขึ้น จะทำได้จริงแท้แค่ไหนนั้น ก็ต้องดูกันต่อไป

นโยบายของพระเยซูคริสต์ เป็นนโยบายเพื่อชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ที่จริงแท้แน่นอน พระเยซูคริสต์ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อ เขาทั้งหลายจะได้ชีวิตที่ครบริบูรณ์ ถ้าผู้ใดเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้นั้นจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์

จากพระวจนะที่ได้อ่านไปแล้วนั้น พระเยซูคริสต์ได้บอกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น 2 อย่าง เพื่อทำให้เราทุกคนได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ คือ

1. พระองค์ทรงเป็นประตูแห่งชีวิต

1.1 ผู้ที่เข้าทางประตูนี้จะได้รับความรอด

พระเยซูเป็นความรอดของเรา พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราทุกคน ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ทุกเรื่องในชีวิตของเรา พระองค์เป็นความรอด หลายครั้งที่ชีวิตเราพบทางตัน ไม่มีทางออก มืดแปดด้าน พระเยซูคริสต์เป็นประตูทางออกของเรา

1.2 ผู้ที่ออกทางประตูนี้จะได้พบอาหาร

ทางพระเยซู เป็นหนทางที่เราจะพบอาหารแห่งชีวิต พบพระพร ทางออกของชีวิตเราสำหรับการมีชีวิตที่ได้รับพระพรนั้น เราออกทางไหน ทางออกนี้เป็นประตูแห่งชีวิตที่ครบบริบูรณ์

สดุดี 23 : 1-6 1พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้าพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ 5พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ 6แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์



พระเยซูได้บอกว่ามารซาตานนั้น พยายามทำให้ชีวิตของมนุษย์ไม่มีความสมบูรณ์ในชีวิต ด้วยการที่ ลัก ฆ่า ทำลาย ชีวิตมนุษย์ แต่พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิต ที่ครบบริบูรณ์



2. พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเรา

2.1 ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อเราทุกคน

พระเยซูได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ (อยู่ในคอกของพระองค์) หรือ ยอมติดตามพระองค์ ก็จะได้ชีวิตรอด ปลอดภัย ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่ครบบริบูรณ์

การอยู่ “นอกคอก” ของพระเยซู เต็มไปด้วยอันตราย มีสุนัขป่า มีแต่ขโมย ที่จะทำอันตราย ชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะต้องอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงจะปลอดภัย ได้รับการดูแลอย่างดีจากพระเยซูคริสต์ เราต้องติดสนิทอยู่ในพระเยซูคริสต์เสมอ เป็นคริสเตียน “ในคอก” ไม่เป็นคริสเตียน “นอกคอก” ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับชีวิตของเรา

2.2 ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นผู้ที่รู้จักเราทุกคนอย่างดี

พระเยซูทรงรู้จักเราทุกคน พระองค์ทรงรู้จุดอ่อน จุดแข็ง รู้อุปนิสัยของเราแต่ละคนเป็นอย่างดี พระองค์ทรงรู้ความต้องการของเราแต่ละคน

พระเยซูทรงเลี้ยงดูเราอย่างเข้าใจ พระเจ้าทรงรู้จักเราเป็นรายบุคคล “ทรงเรียกชื่อแกะ” (ยน.10.3) พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งในชีวิตของเรา รู้ความต้องการของเรา รู้นิสัยของเรา รู้ความทุกข์ของเรา รู้ ปัญหาของเรา และที่สำคัญพระองค์ทรงรู้วิธีที่จะช่วยเราได้

สรุป พี่น้องทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวที่จะทำให้ชีวิตของเราครบบริบูรณ์อย่างแท้จริง พระองค์จะทรงเติมเต็มส่วนที่ขาดไปจากชีวิตของเรา พระองค์จะตัดแต่งชีวิตของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อเราทุกคนเข้ามาอยู่ ในคอก ของพระองค์ เราก็มีชีวิตครบบริบูรณ์

นี่คือ สิ่งที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเราและเพื่อมนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ โปรดเลือกให้พระเยซูคริสต์ เป็น เบอร์ 1 ให้พระองค์ทรงเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา แล้วเราจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ อย่างแท้จริง อาเมน

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทเทศนา หัวข้อ "เรื่องสำคัญที่สุด"

เรื่องสำคัญที่สุด


1 โครินธ์ 15.1-15

ในชีวิตของเราแต่ละคนจะมีเรื่องที่ถือว่าสำคัญหลายอย่างแตกต่างกันไป บางเรื่องสำคัญมาก บางเรื่องสำคัญน้อย บางเรื่องอาจไม่สำคัญแต่เข้าใจผิดคิดว่าสำคัญ ก็มี

มีคนกล่าวว่า “ เรื่องสำคัญ เป็นอุปสรรคของเรื่องสำคัญที่สุด ” คือ คนเราอาจทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าสำคัญแล้ว และพอใจ หยุดอยู่ ติดยึดกับสิ่งที่ได้ทำ หยุดแสวงหาค้นหา แต่ สิ่งที่ทำไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

จากพระวจนะ อาจารย์เปาโลได้บอกถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตคริสเตียนของเรา คือ

“ พระคริสต์ได้วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ทรงถูกฝังไว้แล้ววันที่สามทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ”

ทำไมเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสเตียน

1. เพราะเป็นรากฐานแห่งความเชื่อ

การเป็นขึ้นจากความตายถือว่าเป็นหลักข้อเชื่อที่สำคัญของคริสตจักร ที่ทำให้คริสตจักรตั้งมั่นคงมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ผ่านบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ก็ยังเป็นพื้นฐานความเชื่อที่มั่นคง ยืนหยัดมาตลอดนับกว่า 2000 ปี ที่ไม่มีใครลบล้างทำลายให้หายไปจากสาระบบแห่งความเชื่อของคริสตจักรได้

การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานที่ทำให้คริสตจักรเจริญเติบโตมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในอดีตมาถึงปัจจุบันนี้และยังเจริญเติบโตต่อไปอีกในอนาคต

2. เพราะเป็นทางแห่งความรอด

อาจารย์เปาโลได้บอกกับคริสเตียนชาวโครินธ์ว่า ข่าวประเสริฐเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นั้นเป็นทางที่จะทำให้พวกเขาพบความรอด ถ้าหากพวกเขายึดตามหลักคำสอนที่เปาโลได้สอนเขาไว้อย่างแท้จริง เว้นแต่เขาเชื่อเฉยๆ เท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าเรายึดตามหลักความเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ มีประสบการณ์กับการเป็นขึ้นจากความของพระเยซูคริสต์ ชีวิตของเราก็จะได้รับความรอดเนื่องจากการเป็นขึ้นจากความตายของ พระเยซูคริสต์จริงๆ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ก็จะมีผลทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ ชีวิตที่ได้รับความรอดจากอิทธิพล อำนาจของความบาปจริง

3. เพราะเป็นแก่นแท้แห่งข่าวประเสริฐ

- การตายของพระเยซูคริสต์เพราะบาปของเรา การถูกฝังและการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ

- การตาย ของพระเยซูคริสต์เป็นการตายแทน เป็นการไถ่ เป็นค่าไถ่มนุษย์ออกจากความตายเนื่องจากผลของการที่มนุษย์เป็นคนบาป

- การเป็นขึ้นจากความตาย ของพระเยซูคริสต์เป็นการประกาศชัยชนะเหนืออำนาจของมารซาตาน ที่ต้องฆ่าทำลายชีวิตของมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนได้ในโลกนี้เคยเอาชนะความตายได้ พระเยซูคริสต์เป็นผลแรก เป็นต้นแบบที่นำชีวิตที่ต้องตายเพราะบาปนั้นให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง และพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐอย่างชัดเจนว่า “ เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้ชีวิตอย่างครบบริบูรณ์” ( ยอห์น 10.10 )

- ความบาป ทำให้มนุษย์ต้องถูกแยกจากพระเจ้า ตายจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์นำชีวิตแห่งการคืนดีกันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยการเอากางเขนแห่งความตายของพระองค์เป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า นี่เป็นข่าวประเสริฐที่นำการคืนดี นำความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษเนื่องจากการเป็นคนบาปที่ถูกแยกจากพระเจ้า มาถึงมนุษย์ทุกคน

เราจะทำอย่างไรกับเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

1. ยอมรับไว้เป็นฐานแห่งความรอด ( ข้อ 1-2 )

o ตั้งมั่นในข่าวประเสริฐ

o ยึดตามคำสอน

o ไม่เชื่อเฉยๆ

โคโลสี 2.6 6เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสตเจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น 7จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ

2. ตอบสนองพระคุณแห่งข่าวประเสริฐด้วยการทำงานมาก(หนัก) ( ข้อ 10 )

อาจารย์เปาโลได้กล่าวใน ฟิลิปปี 3.10-12 ว่า “ ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดชเนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย คือ การได้พบกับพระเยซูคริสต์เป็นการส่วนตัว การที่พระเยซูได้ทรงปรากฏกับสาวกคนอื่นอื่นๆ ที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระเยซู ได้ทรงปรากฏกับเราเป็นการส่วนตัว ดังเช่นปรากฏกับอาจารย์เปาโล ( ข้อ 7-10) เป็นแรงผลักดันให้อาจารย์เปาโล อุทิศถวายตัวรับใช้ พระเจ้า ทำงานอย่างหนัก

1 เธสะโลนิกา 1.3 3ต่อพระพักตร์พระบิดาเจ้าของเรา เรารำลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำ และความรักที่ท่านเต็มใจทำงานหนัก และความพากเพียรซึ่งเกิดจากความหวังในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

3. ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสำคัญที่สุด ( ข้อ 11 )

การประกาศข่าวประเสริฐ เป็นวิธีการที่จะให้คริสตจักร(เราทุกคน) ได้นำเรื่องสำคัญที่สุดไปบอกกับผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า

สรุป เมื่ออับราฮัม ลินคอล์น ถูกลอบสังหารจนถึงแก่อสัญกรรม เพราะเหตุผลการประกาศเลิกค้าขายทาส เขาได้นำศพของท่านเดินทางข้ามประเทศจากกรุงวอ๙งตัน ไปยังบ้านเกิดของท่านในมลรัฐอลลินอยส์ ระหว่างทางก็ได้หยุดตามเมืองใหญ่ๆ ตามทางที่ผ่าน ที่เมืองอัลบานี่ ขบวนศพอันยาวเหยียดที่แห่ศพของลินคอล์นผ่านไปตามถนนสายต่างๆ ท่ามกลางฝูงชนที่มายืนดูและร่วมให้เกียรติแก่ร่างอันไร้วิญญาณของประธานาธิบดีเป็นครั้งสุดท้าย มีหญิงชาวนิโกรผู้หนึ่งอุ้มลูกน้อยที่ยังไร้เดียงสาของเธอมาด้วย ขณะที่ขบวนศพค่อยๆ เคลื่อน มาใกล้เธอ หญิงนิโกรผู้นั้นอุ้มลูกน้อยของเธอชูขึ้นสูงเหนือศรีษะและตะโกนออกมาดังๆว่า “ลูกเอ๋ย จงมองดูให้เต็มตาเถิด คนนี้แหละ เขาได้ตายเพื่อลูก”

พี่น้องทั้งหลาย จงมองดูพระเยซูคริสต์ให้เต็มตา เพราะพระองค์ได้ตายเพื่อเราจะได้เป็นไท พ้นจากการเป็นทาสของความบาป ได้เรารับใช้พระองค์ ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ เพื่อนำคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าให้ได้รับความรอดจากพระองค์ อาเมน